
การทำงานจากบ้านหรือ Work From Home ยังคงเป็น A-Must ในยุควิกฤติโควิด -19 ทำให้มนุษย์ออฟฟิศคุ้นชินกันดีกับ Remote Working หรือการทำงานจากระยะไกล จนกลายเป็น “ความปกติใหม่” ของการทำงานทุกวันนี้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน การใช้เครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ในการทำงานที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงานร่วมกันที่เพิ่มขึ้น
ล่าสุด เทเลนอร์ ได้สำรวจสถานการณ์การทำงานของพนักงานเทเลนอร์ในประเทศต่างๆ 9 ประเทศทั่วโลกและบริษัทที่เทเลนอร์ถือหุ้นอยู่ด้วยจากนโยบายทำงานที่บ้าน ทั้งนี้ในภาพรวมพบว่า พนักงานเทเลนอร์มีความสามารถในการปรับตัวและส่งต่อการทำงานได้ แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันในบริษัทก็ตาม แต่ก็ต้องใช้ความพยายามที่มากขึ้น ท่ามกลางความท้าทายที่สูงขึ้นตามไปด้วย โดย 54% บอกว่า ตนเองมีแรงผลักดันในการทำงานเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากสภาพการทำงานปัจจุบัน ทำให้การทำงานมีประสิทธิผลมากขึ้น รายงานหลายฉบับต่างบอกว่าชั่วโมงการทำงานในระหว่าง Work From Home (WFH) มีจำนวน 'สูงขึ้น' และเส้นแบ่งระหว่างบ้านและงาน 'ลดลง' ด้วยเหตุนี้ ทำให้ภาระและความรับผิดชอบของครอบครัวมีความท้าทายมากขึ้น ขณะที่สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social Isolation) มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่ชีวิตอยู่คนเดียวอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ค้นพบข้อสังเกตระดับ Top 10 ที่น่าสนใจ คือ
นอร์เวย์
- พนักงานส่วนมากรู้สึกเข้าถึงผู้บังคับบัญชามากขึ้นและมั่นใจว่า บริษัทสามารถรับมือกับวิกฤตินี้ได้คะแนนการมีส่วนร่วมและความผูกพันของพนักงานต่อองค์กร 'สูงขึ้น'
- 80% บ่งชี้ถึงผลตอบรับที่ดีขี้น ขณะที่พนักงานหลายคนต่างเผชิญกับความท้าทายเกี่ยวกับโฮมสกูลของลูกๆ ตลอดจนปริมาณงานที่หนักขึ้นและไม่สามารถกระจายออกได้ภายใต้การทำงานในภาวะวิกฤติ
สวีเดน
- พนักงานรู้สึกมีความเชื่อมั่นสูงในความเป็นผู้นำ
- 9 ใน 10 พึงพอใจต่อการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติและนโยบายการรับมือต่อวิกฤติของบริษัท อีกทั้งรู้สึกถึงการติดต่อสื่อสารกันระหว่างหัวหน้า - พนักงานในทีมมากขึ้น
เดนมาร์ก
- พนักงานส่วนใหญ่รู้สึกภูมิใจกับการปรับตัวกับการทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พนักงานหลายคนรู้สึกสูญเสียการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวระหว่างพนักงานด้วยกันเอง รวมถึงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไม่เป็นทางการ
ฟินแลนด์ :
- พนักงานไม่รู้สึกแปลกกับการทำงานที่บ้าน เนื่องจากเคยทำงานแบบยืดหยุ่น มาหลายปีแล้ว
- 8 ใน 10 รู้สึกมีแรงผลักดันในการทำงานมากขึ้น เพื่อให้ผลงานที่ได้มากกว่าสิ่งที่คาดหวัง
มาเลเซีย
- พนักงานรู้สึกเชื่อมโยงถึงกันและกันมากขึ้น แม้จะต้องรักษาระยะห่างทางสังคม
- 99 บอกว่า พวกเขารู้สึกใกล้กันมากขึ้นกับสมาชิกในทีม
- 67% รู้สึกสนุกกับการทำงานที่บ้าน
- 33% รู้สึกถึงความท้าทายที่มากขึ้น เมื่อเทียบจากการทำงานจากออฟฟิศ
ไทย
- พนักงานดีแทคส่วนใหญ่เพิ่งเคยเจอกับสถานการณ์การทำงานที่บ้านเป็นครั้งแรก
- 90% ไม่รู้สึกถึงอุปสรรคที่ส่งต่อประสิทธิผลของงาน
- 8 ใน 10 สนุกกับการทำงานที่บ้าน
- 62% สามารถจัดการกับงานได้ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาสามารถปรับตัวเขาได้ดีกับการทำงานในวิถีใหม่ อย่างไรก็ตาม พนักงานต่างโฟกัสให้กับการทำงานเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างปกติ ขณะเดียวกัน ก็คิดถึงการทำงานแบบมีปฏิสัมพันธ์ เพราะทำให้การตัดสินใจต่างๆ เร็วขึ้น
ปากีสถาน
- 8 ใน 10 รู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีประสิทธิผลและมีแรงผลักดันในการทำงานที่สูงขึ้นในระหว่างวิกฤติโควิด 19
- 94% ของพนักงานและผู้บังคับบัญชารู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นก่อนการบังคับใช้นโยบายทำงานที่บ้าน
- 52% รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้น
- 45% กังวลต่อผลกระทบต่อชีวิตจากวิกฤติโควิด 19
บังคลาเทศ
- พนักงานกรามีนโฟนสามารถตอบสนองต่อการทำงานที่บ้านได้อย่างดีเยี่ยม โดยราว 90% บอกว่าพวกเขาทำงานอย่างมีประสิทธิผลกว่าที่เคยเป็นมาอีกทั้ง รู้สึกใกล้กันและห่วงใยกันและกัน
- 96% บอกว่า พนักงานและผู้บังคับบัญชามีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ บ่อยมากขึ้น ขณะเดียวกัน ต่างพบความท้าทายเดียวกัน นั่นคือ การใช้เวลาบนจอคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้น รวมถึงระยะเวลาในการทำงานแต่ละวันที่มากขึ้นเช่นกัน
เมียนมา
- ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติ
- 100% บอกว่า ได้รับการอัพเดทข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ ยังพบว่า การวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวันมีผลอย่างยิ่งต่อประสิทธิผลในการทำงาน
- 95% จัดวางโครงสร้างการทำงานในแต่ละวันด้วยตัวเอง ทำให้สามารถจัดการกับปริมาณและเวลาในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
[อ่าน 1,872]