ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวของประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้ ยังไม่พร้อมที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้นั้น สิ่งที่ทำได้ก็คือ คนในประเทศนั้นๆ ก็เที่ยวกันเองนั่นละ .... ไม่เว้นแม้แต่จีนที่แม้ผู้คนจะอึดอัดอยากเที่ยว แต่ที่สุด ก็ต้องเที่ยวภายในประเทศกันเองไปก่อน นี่จึงทำให้เราได้เห็นคนอู่ฮั่นที่ถูกล็อกดาวน์มานานแห่ไปเที่ยวกันแน่ขนัดอย่างไม่กลัวติดโควิด-19 แม้แต่น้อย แต่ที่สุด ก็กลับมาติดกันอีกรอบเป็นครั้งที่สอง จนทำให้จีนต้องใช้มาตรการเชิงรุกเช็กคนอู่ฮั่นทั้ง 11 ล้านคนอย่างจริงจังว่า ใครติดเชื้ออีก
ไทยเที่ยวไทย
สำหรับประเทศไทยที่ตอนนี้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ถึงเฟส 3 อีกทั้งกำลังปล่อยมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ระหว่างเดือน ก.ค. – ต.ค.63 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กำลังหารือกับ กระทรวงการคลังและได้ข้อสรุปการจัดทำ 2 มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ได้แก่
เที่ยววนไป เฉพาะกลุ่มคลีน
สำหรับการท่องเที่ยวข้ามประเทศขณะนี้มีศัพท์ฮิตมาอีกคำคือ Travel Bubble ซึ่งหมายถึง การเดินทางกันเองในกลุ่มประเทศที่จัดการโควิด-19 ได้ดี ถึงแม้ขณะนี้สถานการณ์ในโลกจะยังไม่คลีนจากโควิด-19 จริงๆ และยังไม่มีการผลิตวัคซีน ดังนั้น การท่องเที่ยวที่จะเกิดได้และไม่ตะขิดตะขวงใจก็คือ การเปิดประเทศเพื่อให้สามารถท่องเที่ยวกันเองได้อย่างในกลุ่มประเทศที่คลีนเรื่องโควิด-19
ตัวอย่างการเดินทางแบบ Travel Bubble เช่น
ไทยเริ่มเมื่อไร
สำหรับประเทศไทยจะสามารถเปิดประเทศเพื่อให้มีการท่องเที่ยวแบบ Travel Bubble นั้นยังไม่รู้ชัด อาจจะเปิดในมาตรการผ่อนคลายเฟส 4 หรือหลังจากนั้น แต่หากนานกว่านี้ เชื่อว่าเศรษฐกิจจะติดโควิด-19 หนักกว่าผู้คนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่สาธารณสุข ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่สามารถบริหารจัดการกับโรคระบาดนี้ได้ดีที่สุดติดอันดับโลกจนทำให้ได้รับความเชื่อถือและความไว้วางใจจากต่างประเทศ อีกทั้งกลายเป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนในประเทศต่างๆ ว่า ถ้าหากเปิดประเทศให้เดินทางได้ก็จะมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน
อัตราผู้ติดเชื้อในประเทศไทยนั้นอยู่ในอัตราเลขตัวเดียวมาหลายวัน แม้จะมีเป้าหมายว่า จะต้องมีอัตราผู้ติดเชื้อที่ระดับศูนย์คนติดต่อกัน 14 วันก็ตาม แต่ผู้ติดเชื้อที่รายงานในระยะหลังเป็นคนไทยที่เดินทางมาจากต่างประเทศและต้องอยู่ในสถานที่กักตัว จนกว่าจะได้รับการตรวจยืนยันว่าได้ผลเป็นลบจึงจะกลับบ้านได้
เนื่องจากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจของไทยพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูงมาก เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยไม่ได้ ธุรกิจรีเทลน้อยใหญ่อย่างห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ ฯลฯ ล้วนได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดที่บ้างก็ต้องปิดกิจการ หยุดกิจการชั่วคราว หรือปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจเพื่อหากระแสเงินสดเข้ามาตาทัพ เพราะในยุคโควิด-19 นั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า
Cash is King.
เงินสดคือราชา หมายความตามนั้นจริงๆ
ฉะนั้น ระหว่างรอฟ้าเปิด ธุรกิจต่างๆ ก็ต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินสดเช้ามา เช่น เปลี่ยนสินค้าที่ขาย เปลี่ยนช่องทางการขาย เปลี่ยนโมเดลการให้บริการ ฯลฯ แต่หากว่า ธุรกิจท่องเที่ยวยังเปิดเครื่องยนต์ได้ไม่เต็มที่ เชื่อว่า ธุรกิจรีเทล ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโซ่อุปทานของการท่องเที่ยวอาจต้องปลดพนักงาน ทั้งนี้ มีการประเมินกันว่า หากไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในอีก 12 เดือนข้างหน้า เชื่อว่า ประเทศไทยจะมีจำนวนพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างมากถึง 8 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะเปิดประเทศ หรืออาจจะใช้กลยุทธ์ Travel Bubble แต่สิ่งที่จะเกิดหลังช่วงโควิด-19 นั้นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะแม้จะสามารถเดินทางไปมาระหว่างแบบ Travel Bubble ได้ แต่เชื่อว่า มาตรการเว้นระยะทางสังคมและมาตรการคัดกรองยังต้องคงอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันถือเป็นมาตรฐานการดำเนินงานขั้นพื้นฐานในยุคโรคระบาดแล้ว
ที่สำคัญ หากไม่มีสิ ... จะถือว่าตกมาตรฐานอย่างที่เรียกได้ว่า การ์ดตก และจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากนักท่องเที่ยวด้วยในแง่ของความปลอดภัยและสุขอนามัยของการท่องเที่ยว อันเป็น New Normal ในโลกของธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่จะต้องมีการแบ่งปัน ตั้งแต่ที่เที่ยว ที่นั่ง ที่นอน ที่กิน ฯลฯ
ฉะนั้น วัตรปฏิบัติของอุตสาหกรรมจึงย่อหย่อนหรือตกมาตรฐานไม่ได้
ว่าแต่ ประเทศไทยจะจับคู่ Travel Bubble กับประเทศใดบ้างก็ถือเป็นเรื่องที่คนไทยด้วยกันอยากรู้ และรอดูว่า ประเทศที่จะจับคู่ท่องเที่ยวด้วยนั้นจะ 'เย้' หรือจะ 'ยี้' ดี !!
บทความจากนิตยสาร MarketPlus Issue 124