จากการแถลงผลประกอบการช่วงไตรมาส 1/2563 ของ เอสซีจี ที่มีรายได้จากการขาย 105,741 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง ตามดีมานด์สินค้าในตลาดโลกที่ลดลง แต่ก็ยังใกล้เคียงกับไตรมาส 4/2562 โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,971 ล้านบาท ลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 2% จากไตรมาส 4/2562 ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าลดลง
แต่เมื่อขยับมาอีกไตรมาสเข้าถึงครึ่งแรกของปี 2563 ประเด็นที่ รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคยกล่าวไว้ว่า ผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ช่วงไตรมาสแรกคงยังเห็นผลไม่ชัดเจน และน่าจะเห็นผลได้ชัดเจนในไตรมาส 2 หรือช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่เมื่อแถลงผลการดำเนินงานจริงๆ ในไตรมาส 2 แม้ภาพรวมจะลดลงไปบ้างทั้งรายได้จากการขาย แต่ก็มีผลกำไรสำหรับงวดดีขึ้น อีกทั้งยังจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ในอัตรา 5.5 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 6,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ เอสซีจีเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทเน้นปรับตัวอย่างว่องไว ระแวดระวังที่จะไม่ทำอะไรสุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกับการลงทุน อีกทั้งคุมเข้มมาตรการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจเคมิคอลส์ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของเอสซีจีเองก็มีหลายตัวที่เป็นดาวเด่นตอบโจทย์ทุกความต้องการลูกค้ายุค New Normal ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแพ็กเกจจิ้งหรือกลุ่มโลจิสติกส์ พร้อมกับการเดินหน้ารักษาเสถียรภาพของธุรกิจในระยะยาวด้วยการพัฒนาโซลูชั่น - นวัตกรรมอย่างครบวงจร
ภาพรวมผลประกอบการ
ไตรมาส 2/2563
ครึ่งแรกของปี 2563
ผลประกอบการแยกรายธุรกิจ
ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งในไตรมาส 2/2563 มีรายได้จากการขาย 21,636 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการซื้อธุรกิจและลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการซื้อ (ดีมานด์) จากกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลดลง แต่กลุ่มนี้ก็ยังมีดีมานด์จากสินค้าอุปโภค-บริโภค เเละบรรจุภัณฑ์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 94% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10%จากไตรมาสก่อน เนื่องจากจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2563 ธุรกิจแพ็กเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 45,903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาส 2/2563 มีรายได้จากการขาย 34,758 ล้านบาท ลดลง 24%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลง และเพิ่มขึ้น 157%จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปริมาณขายและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2563 มีรายได้จากการขาย 73,087 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,342 ล้านบาท ลดลง 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงและผลประกอบการของบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาส 2/2563มีรายได้จากการขาย 42,506 ล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 8% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดลดลงจากมาตรการปิดเมือง โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 211% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และมีรายการปรับเงินชดเชยตามกม.แรงงานในไตรมาส 2/2562 และลดลง 30% จากไตรมาสก่อนจากมาตรการปิดเมือง ปัจจัยด้านฤดูกาล และขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในไตรมาส2/2563 ขณะที่ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2563 มีรายได้จากการขาย 88,751 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากมาตรการปิดเมืองโดยมีกำไรสำหรับงวด 4,722 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 36%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และในปีก่อนมีรายการปรับเงินชดเชยตามกม.แรงงานในไตรมาส 2/2562
กลยุทธ์ฝ่าโควิด-19
"แม้เอสซีจีจะไม่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน ฯลฯ แต่บริษัทฯ ก็ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อให้สามารถปรับตัวและเตรียมแผนการรองรับได้ทันท่วงที"
รุ่งโรจน์กล่าวต่อไปถึงกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ของเอสซีจีว่า "เอสซีจีเน้นใช้กลยุทธ์เพื่อบริการความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management : BCM) โดยมุ่งปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ทั้งในประเทศไทย และอาเซียนทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย พร้อมเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยหากเกิดกรณีสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (Prepare for the Worst) เช่น การเตรียมการขายและการขนส่งล่วงหน้า หากมีมาตรการปิดเมือง การวางแผนเพื่อเตรียมพร้อม หากมีโอกาสทางธุรกิจในกรณีสถานการณ์คลี่คลาย (Plan for The Best) เช่น การปรับกำลังผลิตให้สอดคล้องกับดีมานด์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและคุ้มค่าที่สุด ขณะเดียวกัน ก็จับตาดูความเปลี่ยนแปลง และการเติบโตของตลาดทั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซการสั่งอาหารออนไลน์ ตลอดจนพฤติกรรมบริโภคที่ใส่ใจดูแลสุขอนามัยเพิ่มขึ้น เพื่อส่งมอบนวัตกรรมโซลูชัน สินค้า/บริการที่ตรงใจผู้บริโภค และโอกาสทางการตลาดได้อย่างทันท่วงที"
เมื่อมองแยกหมวดธุรกิจ รุ่งโรจน์กล่าวว่า “สำหรับธุรกิจแพ็กเกจจิ้งยังคงแข็งแกร่งและมีศักยภาพที่โดดเด่น จากการขยายธุรกิจด้วยการควบรวมกิจการ อาทิ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. ผู้นำธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย และ Visy Packaging (Thailand) Limited รวมถึงการวางแผนการลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ในเวียดนาม แต่นโยบายในส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้น เราก็ยังคงระมัดระวัง