SCG ปี 63 ยังแกร่ง กำไรเพิ่ม 7% ผลจาก 'ร่วมใจ - รับ/รุก - รวดเร็ว'
28 Jan 2021

 

เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 2563 ยังแน่นปั๋งทำกำไรสำหรับปี 34,144 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ สวนกระแสวิกฤติโควิด-19 จากกลยุทธ์ 'ร่วมใจ - รับ/รุก - รวดเร็ว' สำทับด้วยการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการส่งมอบนวัตกรรมสินค้า-บริการ โซลูชันครบวงจร ชี้เมื่อเผชิญวิกฤติ ยิ่งทำให้ต้องเข้มแข็งกว่าปกติ เผยกำหนดจ่ายปันผลหุ้นละ 14 บาทวันที่ 23 เมษายน 2564

 

 

ภาพรวมรายได้ลด แต่กำไร +7%

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดนำถึงการแถลงผลการดำเนินงานของบริษัทฯว่า งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจีประจำปี 2563 รายได้จากการขาย 399,939 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง กำไรสำหรับปี 34,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  7% จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ ยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA)
 

"สำหรับผลกระทบของโควิด-19 ถือว่ายังไม่มากนัก เพราะเรายังสามารถส่งมอบสินค้าได้ และผลจากภาวะวิกฤตินี้ทำให้เราเกิดฮึกเหิมขึ้นด้วยว่า เราทำได้ เราสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤติตรงนี้ได้ เนื่องจากเมื่อมีวิกฤติก็ทำให้เราต้องต่อสู้ ทำงานหนักกว่าปกติ คนเอสซีจีมีความคิดร่วมกันว่า ทำอย่างไรให้รอดและทำอย่างไรให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง แล้วเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป เราก็จะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการใดๆ เอสซีจีทำเลย โดยไม่ได้รอให้วิกฤติผ่านไปก่อน มิฉะนั้น ก็ยากที่จะทำให้องค์กรเข้มแข็งได้

 

ทั้งนี้ สิ่งต่างๆ ที่เราทำกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ การเปลี่ยนผ่านของธุรกิจ (Business Transformation) การสร้างนวัตกรรม หรือแม้แต่การทำเรื่องความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Sustainability & Circular Economy) ก็เป็นภารกิจที่เราต้องทำ ควบคู่กันไปกับการใช้เรื่องดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อเอามาใช้ในธุรกิจคอมเมิร์ซ การทำ Service Solution เป็นต้น"

 

Q4/2563

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/2563 ของเอสซีจี ประกอบด้วย

  • รายได้จากการขาย 97,250 ล้านบาท ลดลง  4% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากจากความต้องการในสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงผลจากปัจจัยตามฤดูกาล และผลกระทบจากวิกฤติโควิด -19 อีกทั้งธุรกิจเคมิคอลส์มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสนี้ แม้ว่าการหยุดซ่อมบำรุงจะเสร็จเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ทำให้สามารถชดเชยปริมาณขายที่จะลดลงไปได้บางส่วน แต่ก็ยังส่งผลให้ปริมาณขายของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลงในไตรมาสนี้ และลดลง 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ นอกจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC แล้วยังมาจากรายได้จากการขายของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ลดลงจากผลกระทบวิกฤติโควิด-19

 

  • กำไรสำหรับงวด 8,048 ล้านบาท ลดลง 17% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19  รวมถึงปัญหาฝนตกและน้ำท่วมในภูมิภาค ประกอบกับขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจซีเมนต์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย แต่เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง

 

  • รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากไทยในปี 2563 ทั้งสิ้น 168,719 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 42% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปีก่อน
  • สินทรัพย์รวม  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีมูลค่า 749,381 ล้านบาท โดย 38% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

 

 

ผลการดำเนินงานปี 63 แยกรายธุรกิจ

ธุรกิจเคมิคอลส์  

  • ปี 2563 : มีรายได้จากการขาย 146,870 ล้านบาท ลดลง  17% จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 17,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน ผลจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

 

  • ไตรมาส 4/2563 :  มีรายได้จากการขาย 36,035 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ของโรงงาน MOC ที่เลื่อนมาจากแผนเดิมในไตรมาส 2 โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น 108% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่ลดลงและมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ

 

 

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

  • ปี 2563 : มีรายได้จากการขาย 171,720 ล้านบาท ลดลง 7% จากปีก่อน เนื่องจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกำไรสำหรับปี 6,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

 

  • ไตรมาส 4/2563 :  มีรายได้จากการขาย 40,284 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ปัญหาฝนตกและน้ำท่วมหนักในไทยช่วงเดือนตุลาคม ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ ประกอบกับเวียดนามและกัมพูชาก็เผชิญกับฝนตกหนักจากพายุฝนที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 194 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย เป็นจำนวน 1,316 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวดเป็นจำนวนเงิน 1,122 ล้านบาท

 

 

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง

  • ปี 2563 : มีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนมีกำไรสำหรับปี6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อน เนื่องจากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอนามัย การซื้อสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ รวมถึงปริมาณการขายสินค้าของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเติบโตขึ้นเช่นกัน จากกลยุทธ์การมอบโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงาม และมีนวัตกรรม และการสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย
  • ไตรมาส 4/2563 :  ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

คาถา DADA

ปัจจัยขับเคลื่อนที่ทำให้เอสซีจีสามารถโต้คลื่นวิกฤติโควิด-19 ได้นั้น กล่าวได้ว่ามาจากกลยุทธ์ DADA ที่เอสซีจึและทีมงานทั้งหมดร่วมกันฝ่าฟัน อันประกอบด้วย

  • Dedication : ความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานเอสซีจีทุกคนที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
  • Active Approach : ส่งมอบนวัตกรรมสินค้า บริการ พร้อมโซลูชันต่าง ๆ ได้ครบวงจร ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยที่พนักงานยังคงปฏิบัติงานตามแนวทาง Hybrid Workplace ที่ส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้านและสามารถติดต่อกับลูกค้า ตลอดจนพันธมิตรธุรกิจของเอสซีจีได้
  • Digital Technology : การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อติดต่อกับคู่ธุรกิจ และให้บริการแก่ลูกค้า สร้างสรรค์นวัตกรรม สินค้าและบริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและผู้บริโภคด้วยโซลูชั่นทางด้านบริการและการสื่อสารระหว่างพนักงานในภูมิภาค ลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องได้อย่างไม่สะดุด 
  • Agility : ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ แผนการดำเนินธุรกิจ ปรับสัดส่วนการขาย และรูปแบบการทำงานได้รวดเร็ว ตลอดจนการพัฒนาช่องทาง Omni-Channel เพื่อตอบโจทย์กับพฤติกรรมของลูกค้าและความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป

 

 

รุ่งเรืองกล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับพนักงานที่อยู่ในสายการผลิต-ซ่อมบำรุงก็ปฏิบัติตามมาตรการ 'ไข่แดง ไข่ขาว' เพื่อไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป รวมถึงพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศก็ยังคงปฏิบัติงานเพื่อดูแลการผลิตให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ด้านพนักงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัย ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยแนวปฏิบัตินี้และความมุ่งมั่นของพนักงานทุกคน จะทำให้เอสซีจีก้าวผ่านความไม่แน่นอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ไปได้อีกครั้ง"

 

ปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจเคมิคอลส์ทั้งในไทยและต่างประเทศ

  • การบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจด้วยมาตรการที่เข้มแข็ง
  1. การปรับสัดส่วนการขายโดยเพิ่มการขายเม็ดพลาสติกสำหรับกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคซึ่งยังคงมีความต้องการสูง เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่ม และการขนส่งอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ตลอดจนเพิ่มการขายไปยังตลาดในประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยจากมาตรการปิดประเทศ โดยธุรกิจได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การพัฒนา Digital Commerce Platform เชื่อมต่อคำสั่งซื้อของลูกค้าเข้ากับการบริหารจัดการสินค้า เพิ่มความคล่องตัวและลดเวลาการทำงาน โดยลูกค้าสามารถติดตามสถานะคำสั่งซื้อได้ตลอดเวลา

 

  1. การขยายผล-ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำและกลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ และความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ เช่น เร่งพัฒนาโซลูชันด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งการผลิตเม็ดพลาสติกจากขยะชุมชน (Post-consumer Recycled Resin) และการก่อสร้างโรงงานสาธิตกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี (Chemical Recycling) ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้และร่วมมือกับคู่ธุรกิจระดับโลก เพื่อขยายผลการทำ Digital Manufacturing ให้เป็นธุรกิจที่ให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรม (Industrial Solutions)

           

ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผน 66% และโครงการ MOC Debottleneck มีความคืบหน้าตามแผนโดยดำเนินโครงการไปแล้วกว่า 99%ซึ่งจะมีกำลังผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 3.5 แสนตัน/ปี

 

ปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

  • การปรับแผนการดำเนินธุรกิจและโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยและเน้นการซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเร่งลงทุนใน Active Omni-Channel ได้แก่ SCG HOME Online, NocNoc และ Q-Chang พร้อมนำเสนอสินค้า/บริการ/โซลูชันครบวงจร เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำตลาดวัสดุก่อสร้างในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยให้บริการครอบคลุมทั้งโซลูชันเพื่อการก่อสร้างและการอยู่อาศัย รวมถึงโซลูชันเพื่อช่วยป้องกัน โควิด-19 เช่น Medical Solution by CPAC BIM ที่นำเทคโนโลยี Building Information Modeling มาช่วยวางแผน ออกแบบ และสร้างห้องแยกและควบคุมเชื้อสำหรับใช้ทางการแพทย์ ผสานเทคโนโลยีระบายอากาศความดันลบและความดันบวกมาใช้ ช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย สร้างได้รวดเร็ว และควบคุมงบประมาณได้ โดยดำเนินการแล้วที่โรงพยาบาลสระบุรี และวชิรพยาบาล

 

  • การนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นสุขอนามัยเป็นพิเศษ เช่น สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำอัตโนมัติ Smart Touchless ลดการสัมผัส, นวัตกรรมกระเบื้อง Hygienic Tile จาก COTTO ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียภายในบ้าน เช่นเดียวกับ สมาร์ทบอร์ด เอสซีจี รุ่นอัลตรา คลีน ที่ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย เช็ดฆ่าเชื้อโรคได้ด้วยแอลกอฮอล์ได้บ่อยโดยที่ไม่เสื่อมสภาพ ทนเชื้อราและรังสี UV เหมาะสำหรับทำเป็นผนังในโรงพยาบาล เฮลธ์แคร์ เนอร์สซิ่งโฮม หรือคลินิกทันตกรรม ขณะที่ระบบหลังคาโซลาร์จากเอสซีจี ช่วยประหยัดค่าไฟให้กับเจ้าของบ้าน มียอดขายเติบโตขึ้น 182% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น

 

 

ปัจจัยขับเคลื่อนธุรกิจแพคเกจจิ้ง

  • การออกแบบโมเดลธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน

 

  • การสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจ โดยมุ่งขยายฐานลูกค้า ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุดได้เข้าถือหุ้นใน BienHoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำในประเทศเวียดนามและการเข้า ถือหุ้นใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ผู้นำในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราช อาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือที่มีฐานผลิตอยู่วียดนามตอนใต้ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพการขยาย ตลาดบรรจุภัณฑ์อาหาร

 

  • การให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อมาตรการการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของสินค้าพนักงาน ตลอดจนลูกค้าและคู่ธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ โดยได้เปิด SCGP-Inspired Solutions Studio เพื่อเพิ่ม ประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าได้สัมผัสกับโซลูชันการออกแบบบรรจุภัณฑ์ต่างๆ พร้อมกับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ R-1 ซึ่งเป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ผลิตจากฟิล์มประกบหลายชั้นช่วยปกป้องสินค้าและทนทานแรงกระแทกได้ดี สามารถนำกลับมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกและวัสดุอื่นๆ ได้อย่างมีคุณภาพ โดยได้ร่วมกับ กลุ่มบริษัท  ดาว (ประเทศไทย) และข้าวตราฉัตร พัฒนานวัตกรรมถุงข้าวรักษ์โลกที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ 10

 

ปันผลหุ้นละ 14 บาท

คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 14 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 16,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 49% ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 5.50 บาท เป็นเงิน 6,600 ล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 8.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 10,200 ล้านบาท

การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี”

 


การลงทุนปี 2564

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ด้านการเงินและการลงทุน เอสซีจี กล่าวว่า "สำหรับปีนี้ เอสซีจีตั้งงบการลงทุนที่ 6.5-7.5 หมื่นล้านบาท จากปี 2563 ที่ตั้งงบไว้ที่ 6 หมื่นล้านบาทและใช้ไปประมาณ 5.8 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ทางเอสซีจีกำลังทบทวนโครงการ โดยคาดว่าแผนการลงทุนจะเป็นโครงการปิโตรเคมี  Long Son Petrochemicals (LSP) ที่เวียดนามมากกว่า50% ของวงเงิน นอกจากนี้ จะเป็นการลงทุนที่เกี่ยวกับแพคเกจจิ้ง, เคมีคัล, ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง"


 

[อ่าน 1,945]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ซีอาร์จี จับมือ สลัดแฟคทอรี่ สานต่อ “โครงการฟาร์มสามารถ” สร้างอาชีพ-ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ
Lenskart จับมือ POP MART เปิดตัวคอลเลกชันแว่นตาสุดคิวท์ “Lenskart x Sweet Bean I want a Hug”
“คมนาคมผนึก 4 รัฐวิสาหกิจ เซ็น MOU ศึกษาทางพิเศษเชื่อมสมุย บูรณาการคมนาคม–สาธารณูปโภค หนุนท่องเที่ยว–เศรษฐกิจยั่งยืน
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 500 ล้านบาท สร้างปรากฎการณ์ Entertainment Countdown ทั่วประเทศ
ไทยเบฟเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ “Kid Zone” เรียนรู้ธรรมชาติผ่านศิลปะ ในงานกาชาด 2568
ทรูคว้าดีล JegoTrip จัดให้ลูกค้า GO Travel สนุก สมาร์ท ทุกทริป ทั่วจีน เน็ตแรง 5G ไม่สะดุด
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved