‘ภูตะวัน’ ต่อยอดความสำเร็จธุรกิจ 20 ปี สร้างคลัสเตอร์เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์-ชุมชนเกษตรกรอินทรีย์ไทยผ่านแบรนด์ ‘intree’ เจาะลูกค้ายุคนิวนอร์มอลมองหาสินค้าส่วนผสมธรรมชาติออแกนิคระดับเข้มข้น พร้อมแชร์ 4 กลยุทธ์หนุนธุรกิจกลับมาโตเท่าเดิมก่อนโควิดระบาด หวังเป็นต้นแบบเอสเอ็มอีไทยรุ่นใหม่ ไปไกลในต่างประเทศ
ฉัตรชัย วงศ์มานะโรจน์ศรี ผู้ก่อตั้ง และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภูตะวัน เฮิร์บ แอนด์ คอสเมติค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ส่วนผสมจากธรรมชาติแบรนด์ ‘ภูตะวัน’ เปิดเผยว่า บริษัทในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทั้งด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) การผลิตสินค้าจากส่วนผสมธรรมชาติและเกษตรอินทรีย์ (Organic) ในประเภทต่างๆ รวมถึงการนำองค์ความรู้ทางวิชาการถ่ายทอดต่อไปยังชุมชนเกษตรกรท้องถิ่น ผู้เพาะปลูกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พืชสมุนไพรไทยที่มีคุณภาพสูง เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าแบรนด์ภูตะวัน มาตลอดระยะเวลาร่วมสองทศวรรษ
ทั้งนี้ ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของแบรนด์ภูตะวัน บริษัทได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญดังกล่าว พร้อมใช้จุดเด่น ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวกลางสร้างการเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้บริโภค เกษตรกร และ องค์กรเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ อินทรี (intree : Organic Mountain) มีจุดเด่นสินค้าส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติระดับเข้มข้นในปริมาณที่สูงกว่า 90% และให้ความปลอดภัยสูง โดยใช้วัตถุดิบออแกนิคที่ได้รับการรับรองจาก USDA, ECO-CERT และ สถาบันระดับโลก รวมทั้งยังเป็น Biodegradable วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายได้ในแหล่งน้ำ โดยไม่ทำลายประการัง เป็นต้น โดยบริษัท ได้ใช้สองแหล่งวัตถุดิบหลักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘อินทรี’ (intree : Organic Mountain) คือ
สำหรับผลิตภัณฑ์ intree จับกลุ่มเป้าหมายระดับบน โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 25-35 ปี มีรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย ห่วงใยสิ่งแวดล้อม รักการเดินทางท่องเที่ยว ใส่ใจความสะอาดให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง และชื่นชอบของใช้-สินค้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และ ผลิตภัณฑ์ออแกนิค ปัจจุบัน intree มีกลุ่มลูกค้าหลักในเมืองประมาณ 60% และอื่นๆราว 40% รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่สนใจผลิตภัณฑ์ออแกนิคที่มีคุณภาพและส่วนผสมระดับเข้มข้น
ฉัตรชัย กล่าวว่า “บริษัทได้ปันผลกำไรประมาณ 5% เพื่อคืนกลับไปยังชุมชนดังกล่าวให้นำไปพัฒนาและขยายการเพาะปลูกและการทำกิจกรรมพืชออแกนิคของชุมชนบนภูเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าจากการเปิดตัวพร้อมทำตลาดผลิตภัณฑ์ intree ในครั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าว่าประเทศไทยเป็นแหล่งปลูกพืชออแกนิคที่มีคุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์ระดับโลก โดยกลุ่มเกษตรกรอินทรีย์ภูเขาของไทยยังได้รับการส่งเสริมด้านเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน จากรายได้ที่เป็นรูปธรรมจากการนำส่งวัตถุดิบมาผลิตเป็นสินค้าออแกนิคให้กับบริษัท พร้อมสร้างความร่วมมือระหว่างบริษัทเอกชนและการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่จะเข้าไปร่วมงานและสนับสนุน และเป็นต้นแบบให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) อื่นๆ ในอนาคต ผ่านกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจของบริษัท รวมถึงสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคต่อแบรนด์ Intree by Phutawan ด้วยเป็นแบรนด์ที่สร้างสรรค์สังคมและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างยอดขายที่ยั่งยืนผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศ และ ช่องทางออฟไลน์ ควบคู่กันไปกับแบรนด์ภูตะวันให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
ฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจภายใน 2 ปี (2564 - 2565) บริษัทจะมุ่งดำเนินการใน 4 กลยุทธ์หลัก คือ
ปัจจุบันภูตะวันมีหน้าร้านสาขาต่างประเทศ ทั้งหมด 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย ฮ่องกง อุซเบกิส-ถาน ออสเตรีย และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ กว่า 17 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย โอมาน คูเวต ออสเตรีย สิงคโปร์ อุชเบกิซสถาน ฮ่องกง รัสเชีย มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา ลาว ไต้หวัน บัลกาเรีย และ โปแลนด์
ทั้งนี้ จากกลยุทธ์ดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ระดับเดิม หรือ มีอัตราเท่ากับในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในปี 2562 โดยมียอดขายอยู่ที่ 120 ล้านบาท
ผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘อินทรี’ (intree : Organic mountain) มีผลิตภัณฑ์วางจำหน่าย 2 กลิ่น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เลมอนกราส ออแกนิค และ กุหลาบมอญ ออแกนิค ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็น แชมพูและคอนดิชั่นเนอร์, ชาวเวอร์เจล, บอดี้สครับ, โซฟบาร์ และ ครีมบำรุงผิว ราคาตั้งแต่ 120 – 480 บาท โดยสามารถซื้อสินค้าได้ทั้ง 18 สาขาของภูตะวัน