พลังผนึก (Synergy) ระหว่าง 'ออริจิ้น' ผู้นำธุรกิจพัฒนาที่ดิน กับ 'เจดับเบิ้ลยูดี' ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ เพื่อร่วมกันจัดตั้ง บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด (Alpha) บริษัทร่วมทุน เพื่อรุกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร พร้อมตั้งเป้าขึ้นแท่น Top 3 ภายใน 5 ปี ด้วยพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ากว่า 1 ล้าน ตร.ม. ผ่านการพัฒนาเองและการควบรวมกิจการ พร้อมมูลค่า REIT กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เผยแผนรุกแหล่งนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ควบคู่การขยายกิจการในเวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ชูจุดแข็งบริการเฉพาะทาง หวังเจาะลูกค้ากลุ่มอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ออโตเมชั่น นำร่องลุยโครงการแรกย่านบางนาไตรมาส 2/2564
แนวรบใหม่ที่ ALPHA
การจัดตั้งบริษัทร่วมทุน บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด สัดส่วน 50:50 ระหว่าง บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) ธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ครั้งนี้ถือเป็นการขยายแนวรบ เพื่อตอบรับอุตสาหกรรมซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโตในยุค New Normal และการเติบโตเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ทั้งนี้ พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยถึง Positioning-ของ บริษัทร่วมทุนใหม่อย่าง 'แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น' ว่า
เป็นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นธุรกิจที่สามารถสร้างความแตกต่างจากอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะการให้บริการกับกลุ่มสินค้าอาหารแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย ออโตเมชั่น เป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม (Innovative Technology) อีกทั้งบริหารงานด้วยความยืดหยุ่น (Agile) มีการเปลี่ยนแปลง (Transform) อย่างรวดเร็ว และพัฒนาโซลูชั่นเพื่อรองรับธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ กับภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ ตลอดจนเป็นบริษัทที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าในยุค New Normal และลูกค้า Gen Alpha หรือกลุ่ม Gen Z ซึ่งจะเป็น Power Gen ที่มีอิทธิพลต่อตลาดในอนาคต
นอกจากนี้ จุดแข็งที่ผสานกันระหว่าง ORI กับ JWD ที่เสริมกันจากการเปิดเผยของ พีระพงศ์ ที่ว่า
"ORI เชี่ยวชาญด้านการหาที่ดิน การจัดการต้นทุนในการพัฒนาโครงการ มีพันธมิตรด้านอสังหาฯ ชั้นนำจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในฝั่ง B2C ขณะที่ JWD เชี่ยวชาญด้านการบริหารคลังสินค้า บริการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ มีเครือข่ายที่แข็งแรงอยู่ทั่วอาเซียน ตลอดจนมีฐานลูกค้าที่กว้างขวางโดยเฉพาะในฝั่ง B2B ความร่วมมือระหว่าง ORI กับ JWD ในครั้งนี้จึงถือเป็นการสร้าง Synergy ผสานความแข็งแกร่งของทั้งคู่เข้าด้วยกันในการตอบโจทย์ตลาดอย่างครบวงจรทั้งในฝั่ง B2B และ B2C ซึ่งจะทำให้ Alpha เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปี 2568 และก้าวขึ้นเป็น Top 3 ของธุรกิจนี้ได้ภายใน 5 ปี”
เจาะธุรกิจ New S-Curve
การดำเนินธุรกิจของ Alpha ถือเป็นกลุ่มธุรกิจ New S-Curve ที่มีอนาคต เนื่องจากโฟกัสของธุรกิจมุ่งเจาะกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) กล่าวเพิ่มเติมถึงการดำเนินงานของ Alpha ว่า ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ
ทั้ง Alpha จะใช้จุดแตกต่างทั้งด้านความยืดหยุ่นและความสามารถนำเสนอ Logistics Solution ที่ซับซ้อน ทันสมัย และครบวงจรให้แก่ลูกค้ามาเจาะตลาดลูกค้าเป้าหมายหลัก 6 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มอีคอมเมิร์ซ
2.กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ห้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Storage) เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา และเวชภัณฑ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
3.กลุ่มเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย
4.กลุ่มธุรกิจยานยนต์และ EV
5.กลุ่ม Urbanized property
6.กลุ่ม Data Center
ชวนินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความต้องการด้านโลจิสติกส์โซลูชั่นในประเทศไทยยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น เฉพาะทางมากขึ้น เราและออริจิ้นจึงจะบูรณาการ Total Solutions ที่แตกต่างจากตลาด เนื่องจากเราไม่ได้แค่หาที่ดินมาพัฒนาคลังสินค้า แต่เราจะมีทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ ระบบออโตเมชั่น หุ่นยนต์ และบริการที่ซับซ้อนอื่นๆ พร้อมนำเสนอแก่ลูกค้าฝั่ง B2B ในหลากหลายประเภทธุรกิจ ขณะเดียวกัน เราก็สร้างประสบการณ์ หรือ Customer Experience ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคในโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถทำธุรกิจ e-Commerce จากที่พักอาศัยได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจของเราจะตอบโจทย์ความต้องการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ได้อย่างครบวงจร ทั้งนี้ เราตั้งเป้าว่า ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2568 Alpha จะมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารมากกว่า 1 ล้าน ตร.ม. พร้อมทั้งมีมูลค่า REIT Value ในระดับ 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะพิจารณานำสินทรัพย์ในกลุ่มต่างๆ เข้าจดทะเบียนเสนอขายแก่นักลงทุนในรูปแบบทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วยภายในปี 2023”
แผนการเติบโต
สำหรับแนวทางการเติบโตของ Alpha ในช่วง 5 ปีนี้ ปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด เปิดเผยว่า
"Alpha จะเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) ในสัดส่วน 60% ผ่านการพัฒนาพื้นที่บริหารประมาณ 1.2 แสนตร.ม.ต่อปี และการเติบโตทางลัด (Inorganic Growth) ในสัดส่วน 40% ผ่านการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารอีกราว 8 หมื่นตร.ม.ต่อปี โดยมองทำเลการเติบโตในหลากหลายกลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรม อาทิ บางนา แหลมฉบัง ระยอง และวังน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทจะมุ่งไปก่อนเป็นกลุ่มแรกในปีนี้
2.กลุ่มคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ
3.กลุ่มศูนย์กลางธุรกิจ (CBDs) ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ
4.กลุ่มตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา
เราจะเริ่มบุกด้วยทำเลที่มีความต้องการสูงและออริจิ้นเชี่ยวชาญอยู่แล้วอย่างโซนบางนา และ EEC ขณะเดียวกัน การขยายไปยังตลาดต่างประเทศภายใน 3 ปีนั้น Alpha มีการลงทุนและพันธมิตรทั้งในเวียดนาม (ฮานอย ท่าเรือน้ำลึกไฮฟอง ตอนเหนือโฮจิมินห์), อินโดนีเซีย (ซูราบายา, จาการ์ต้า) และกัมพูชา (พนมเปญ และบริเวณชายแดน) ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่เราจะสามารถเติบโตได้ทั้ง Organic Growth และ Inorganic Growth จนมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ารวม 1 ล้าน ตร.ม.ได้ตามเป้า” ปธาน กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มพัฒนาโครงการแรกภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 24 ไร่ บน ถนนบางนา ตราด กม.22 เป็นโครงการคลังควบคุมอุณหภูมิแบบ Multi-Temperature ที่มีตัวอาคารสูงพิเศษกว่า 23 เมตร และเป็นโครงการแรกของไทยที่เป็นคลังสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แบบควบคุมอุณหภูมิ (Temperature-Controlled Fulfillment Center) รองรับระบบการจัดเก็บอัตโนมัติ (ASRS) โดยมีขนาดพื้นที่กว่า 2.2 หมื่นตร.ม. สามารถตอบสนองการจัดการด้านโลจิสติกส์และมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยในส่วนของระบบห้องเย็นและระบบออโตเมชั่น ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีค่าซ่อมบำรุงต่ำ ขณะเดียวกัน ก็ใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาส 2/2021 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ในช่วงไตรมาส 1//2022