
เทรนด์ใหม่ที่เติบโตควบคู่มากับสังคมอายุยืน หรือ Aging Society คือการให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสุขภาพ เช่น การเวิร์คเอ้าท์ ออกกำลังกาย กินอาหารคลีน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของโรคอันตราย เช่น โรคมะเร็ง สิงห์นักสูบจำนวนมากจึงตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ในประเทศไทยค่อยๆ ลดลงทีละช้าๆ จากร้อยละ 19.9 ในปี 2560 เหลือร้อยละ 17.4 ในปี 2565
อย่างไรก็ตามจากตัวเลขสถิติข้างต้น ก็ยังเห็นได้ว่าผู้สูบบุหรี่อีกจำนวนมากก็ยังคงตัดสินใจที่จะไม่เลิกสูบบุหรี่ แต่กลับมองหาผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาทดแทน แต่ให้โทษหรือเป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้า
ผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ที่ไม่มีควัน (Smokeless products) เช่น บุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เริ่มได้รับความนิยมในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกมากขึ้น เนื่องจากมีการศึกษายืนยันว่าสามารถใช้ทดแทนการสูบบุหรี่ได้ เพราะสามารถส่งมอบนิโคตินในรูปแบบไอระเหยตามที่ร่างกายต้องการได้ โดยที่สารประกอบอันตรายมีน้อยกว่าที่พบในควันบุหรี่ บางประเทศ อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ ก็ยังเปลี่ยนมาสนับสนุนให้มีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการเลิกบุหรี่
หลักการทำงานของบุหรี่ไฟฟ้าคือการนำส่งนิโคตินในรูปแบบใหม่โดยตัดการเผาไหม้ โดยให้ขดลวดที่ได้รับความร้อนทำปฎิกิริยากับนิโคตินเหลวและเปลี่ยนเป็นไอระเหยที่มีนิโคติน เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนที่ส่งผ่านความร้อนไปยังใบยาสูบเพื่อปลดปล่อยละอองลอยที่มีนิโคตินออกมาโดยไม่มีสารพิษที่เกิดจากการเผาใหม้ ซึ่งแม้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดจะไม่ได้ปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงแต่ก็เป็นนวัตกรรมในการนำส่งนิโคตินในรูปแบบใหม่ที่มีสารพิษที่เป็นอันตรายในจำนวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเผาไหม้ของบุหรี่ซิกาแรตที่เรารู้จักกันทั่วไป

แม้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะเป็นนวัตกรรมที่ค่อนข้างใหม่ มีการใช้กันไม่ถึง 10 ปี แต่จากข้อมูลการศึกษาเรื่อง Global Trends in Nicotine พบว่า ในปี 2563 บุหรี่แบบดั้งเดิม (ซึ่งได้แก่ บุหรี่และซิการ์) มีส่วนแบ่งในตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของนิโคตินลดลงเหลือ 84% จาก 89% ในปี 2560 ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดที่หายไปนั้น มาจากการเติบโตของบุหรี่ไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.5% และยาสูบแบบให้ความร้อน (heated tobacco) 2.4% ขณะที่ผลิตภัณฑ์นิโคตินทดแทน หรือ NRT ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดเพียงร้อยละ 0.3 เท่านั้น
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเร่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ ก็คือการที่บริษัทผู้ผลิตยาสูบรายใหญ่ๆ ของโลกต่างก็เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเกาะเทรนด์ความต้องการของผู้สูบบุหรี่ เพราะถือเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่จะมาแทนที่ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมที่ถูกมองว่าเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาของคนสังคม
อย่างไรก็ตามยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับนิโคตินและอันตรายจากการบริโภคยาสูบในรูปแบบต่างๆอยู่และนั่นคงเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ที่ไม่มีควัน (Smokeless products) ที่ต้องสื่อสารข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจและเข้าใจนวัตกรรมเหล่านี้ในมุมมองใหม่ว่าจะไม่ไปสร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น
บริติชอเมริกัน หรือ BAT บริษัทยาสูบรายใหญ่อันดับสองของโลกรายงานผลประกอบการประจำปี 2564 ว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.57 หมื่นล้านมาจากยอดขายบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ใช้ในช่องปาก ( oral nicotine) ซึ่งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีการเติบโตถึง 50% และมีผู้ใช้รวมกว่า 18.3 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 4.8 ล้านคนจากปีที่ผ่านมา
ขณะที่ ด้านฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่ลแนล (PMI) ก็เผยว่ายอดขายรวมของบริษัทเติบโตขึ้น 2.2% ในปี 2564 โดยยอดขายบุหรี่ลดลง 0.6% แต่ยอดขายผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน (Heated tobacco) เพิ่มขึ้นเป็น 24.8% ทำให้รายได้รวมของกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้เติบโตขึ้นเป็น 29.1% ของรายได้รวมของบริษัทฯ ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี และมีส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ (ไม่รวมการขายในสหรัฐอเมริกา) เพิ่มขึ้นเป็น 6.8%
ด้าน Relx Technology ผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีนที่สามารถพาบริษัทเข้าตลาดหุ้นนิวยอร์กได้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้จะเพิ่งก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมเพียง 3 ปีเท่านั้น ทำให้ Kate Wong ซึ่งมีอายุเพียง 39 ปีผู้ก่อตั้งบริษัทฯ กลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลก เพราะในปี 2564 Relx มียอดขายเพิ่มขึ้น 147% คิดเป็นมูลค่า 585 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเมื่อปี 2561 ที่มีรายได้เพียง 19 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น และเป็นที่คาดการณ์ว่าจะยังเติบได้อีกตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในจีนยังมีขนาดเพียง 2% จากจำนวนผู้สูบบุหรี่กว่า 308 ล้านคนในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ลักษณะเด่นของตลาดบุหรี่ไฟฟ้าคือความกระจัดกระจายของผู้ผลิต และยังไม่มีบริษัทยาสูบใหญ่ๆ รายได้ที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้ใหญ่ที่สุด ผู้ผลิตรายใหญ่ 10 อันดับแรกรวมกันแล้ว ยังมีมูลค่ารวมเพียง 56% ของมูลค่าการตลาดทั่วโลก
เมื่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น จึงเกิดกฎระเบียบการควบคุมใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพดี แทนที่จะต้องซื้อกันอย่างผิดกฎหมาย ดังเช่นที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่ผ่านการพิจารณาแล้วสามารถขายได้ และโมเมนตัมนี้กำลังขยายไปในหลายประเทศทั่วโลก เช่น นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ ที่กำลังพิจารณากฎหมายเพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์พวกนี้เช่นเดียวกับอีก 70 กว่าประเทศที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดของรัฐเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนแต่ก็ไม่ตัดโอกาสให้กับผู้สูบบุหรี่ที่ยังคงมองหาทางเลือกใหม่ที่จะได้รับนิโคตินโดยได้รับอันตรายน้อยกว่าเดิม แต่สิ่งท้ายแล้วสิ่งที่ดีที่สุดคือการไม่รับสารอันตรายใดๆ เข้าไปในร่างกาย
ที่มา
https://www.bat.com/group/sites/UK__9D9KCY.nsf/vwPagesWebLive/DOCBHP4P





