เครือข่ายลดอุบัติเหตุ เปิดเวทีสาธารณะ ถกประเด็น “คาร์ซีท คาใจ เลือกแบบไหนเพิ่มความปลอดภัยให้ลูก”
18 May 2022

 

เครือข่ายลดอุบัติเหตุ เปิดเวทีสาธารณะ ถกประเด็น “คาร์ซีท คาใจ เลือกแบบไหนเพิ่มความปลอดภัยให้ลูก” แนะความสำคัญที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก พร้อมรับฟังปัญหา-ข้อเสนอแนะ เผยที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กลดเสี่ยงตายในเด็กทารกและเด็ก1-4 ปี ได้ร้อยละ 69 เด็กอายุมากกว่า 5 ปีได้ร้อยละ 45 ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ขณะที่องค์การอนามัยโลกชี้ประเทศไทยยังใช้น้อยมากในแต่ละปี ส่งผลให้มีเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเกือบ 1,000 ราย เพราะไม่มีอุปกรณ์รัดตรึงขณะโดยสาร-หลุดกระเด็นออกนอกตัวรถ 

 

สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย เปิดเวทีสาธารณะ “คาร์ซีท คาใจ  เลือกแบบไหนเพิ่มความปลอดภัยให้ลูก” ร่วมรับฟังข้อมูล ข้อเสนอแนะ เพื่อขับเคลื่อนป้องกัน และลดอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) หลังจากประกาศราชกิจจานเบกษา เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 เรื่อง พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ในมาตราที่ 123 ระบุว่า ในขณะขับรถยนต์ เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย และคนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด หรือมีวิธีป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 2,000 บาท  และจะมีผลใช้บังคับในอีก 120 วันนับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  

 

 
 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  กล่าวว่า 

เป็นเรื่องที่ดีที่จะสร้างความปลอดภัยให้ลูก โดยจัดให้มีที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ซึ่งข้อมูลจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าที่นั่งนิรภัยปลอดภัยสำหรับเด็ก 5 ปีที่ผ่านมา (2560-2564) มีเด็กอายุ 0 - 6 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 1,155 คน พบว่า 221 คน เกิดจากโดยสารรถยนต์ เฉลี่ยปีละ 44 คน โดยเด็กไทยใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก เพียง 3.46% เท่านั้น ขณะที่องค์การอนามัยโลกรายงานว่าที่นั่งนิรภัยในรถยนต์สำหรับเด็กสามารถลดความสูญเสียหรือลดการเสียชีวิตของเด็กเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้มากถึงร้อยละ70 จึงได้พยายามที่จะผลักดันให้ทุกประเทศให้ความสำคัญ

พร้อมกันนี้ ยังได้ประเมินประเทศไทยว่า มีการใช้ที่นั่งนิรภัยในเด็กน้อยมากในแต่ละปี ทำให้เสี่ยงที่จะมีเด็กที่โดยสารในรถยนต์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน เกือบ 1,000 ราย เกือบทั้งหมดไม่มีอุปกรณ์รัดตรึงขณะโดยสาร เมื่อเกิดเหตุเด็กจะกระเด็นกระแทกภายในรถยนต์ กระจกหรือหลุดกระเด็นออกนอกตัวรถ ซึ่งต่อจากนี้รัฐควรต้องเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการต้องใช้ที่นั่งนิรภัยในเด็กอย่างจริงจัง

 
 

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า

การเดินทางปลอดภัยต้องใช้เข็มขัดนิรภัยและที่นั่งนิรภัย เมื่อเกิดการชนกระแทกความเร็วของรถยนต์ลดลงอย่างกะทันหัน แต่ผู้โดยสารยังเคลื่อนที่ทำให้ชนกระแทกถูกโครงสร้างภายในรถยนต์หรือกระเด็นออกนอกรถ ดังนั้น การยึดเหนี่ยวไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ต่อเมื่อรถยนต์ถูกหยุดยั้งให้ลดความเร็วลงกะทันหัน จึงเป็นหลักการที่สำคัญในการสร้างความปลอดภัย

ดังนั้นที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กในการโดยสารรถยนต์ (child seat) จึงเป็นนวัตกรรมที่ส่งผลลดการตายของเด็กจากการเดินทางด้วยรถยนต์อย่างมาก ซึ่งปีค.ศ.1983 ได้มีการศึกษาพบว่าที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กจะลดความเสี่ยงต่อการตายในเด็กทารกและเด็ก1-4 ปีถึงร้อยละ 69 ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ขณะเดียวกันจะลดความเสี่ยงต่อการตายในเด็กอายุมากกว่า 5 ปีได้ร้อยละ 45 และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงร้อยละ 50 (Charles,1986)( Hertz,1996)

สำหรับข้อแนะนำมีดังนี้

  1. ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด และเด็กอายุ 2-6 ปี ควรใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็กที่มีที่ยึดเหนี่ยวในตัวนั่งหันหน้าไปด้านหน้า (forward facing seat) มีสายรัดตัวเป็นแบบยึดเหนี่ยวร่างกายเด็กไว้ 5 จุด

  2. การอุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ

  3. เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลงสองเท่าตัว

  4. การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญจากการกระเด็นทะลุกระจกหรือลอยจากที่นั่งตามความเร็วรถชนกระแทกโครงสร้างภายในรถหลังอุบัติเหตุรถชนหรือคว่ำ

  5. เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปี ต้องใช้ที่นั่งนิรภัยให้เหมาะสมตามวัย และต้องยึดเหนี่ยวให้ถูกวิธี ตามคําแนะนําของแต่ละผลิตภัณฑ์ 

  6. เด็กที่จะใช้เข็มขัดนิรภัยได้เหมาะสมปลอดภัยก็ต่อเมื่อมีอายุ 9 ปีขึ้นไปหรือความสูงตั้งแต่ 135 เซ็นติเมตรขึ้นไปเท่านั้น มิฉะนั้นเข็มขัดนิรภัยอาจกลายเป็นตัวการทำอันตรายต่อเด็กอย่างรุนแรงได้ ซึ่งระยะเวลา 120 วัน ก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ไม่ใช่เป็นเพียงเวลาที่ประชาชนต้องเตรียมตัวแต่เป็นเวลาที่รัฐ ชุมชน องค์กร บริษัท หน่วยงานบริการสุขภาพเด็ก หน่วยงานบริการการศึกษาเด็ก ปฐมวัย ต้องเตรียมตัว ต้องมีมาตรการช่วยเหลือการเข้าถึงที่นั่งนิรภัย

 
 
 

นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาองค์กรของผู้บริโภค  กล่าวว่า

การเลือกซื้อที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือคาร์ซีท ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและใช้งานได้จริง เหมาะกับน้ำหนักของเด็ก ไม่แนะนำให้ซื้อสินค้ามือสองที่ไม่รู้ที่มาหรือเลือกซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ไม่เห็นหรือสัมผัสตัวสินค้า

 

โดย คาร์ซีท ตามมาตรฐาน ECE requlation R44.04 มี 5 แบบ ได้แก่

  1. แบบ Rearward-facing จะวางที่เบาะและติดตั้งให้เด็กหันหน้าเข้าหาเบาะรถ เหมาะกับเด็กน้ำหนัก 0-13 กิโลกรัม

  2. Extended rearward-facing คุณลักษณะเหมือนข้อ1 แต่มีฐานสามารถปรับเข้า-ออกได้เหมาะเด็กน้ำหนัก 9-2 กิโลกรัม

  3. Forward-facing แบบ convertible ติดตั้งโดยให้เด็กหันหน้าไปทางหน้ารถ ถอดสายรัดออกได้ หรือใช้เข็มขัดเดิมของรถมาใช้ได้ เหมาะกับเด็กน้ำหนัก 9-18 กิโลกรัม

  4. High-back booster แบบหันไปข้างหน้ารถ รูปร่างเหมือนเบาะปกติ แต่จะมีส่วนป้องกันศีรษะ คอและลำตัว ไม่มีเข็มขัดในตัวใช้เข็มขัดนิรภัยของรถในการคาดเหมาะกับเด็กน้ำหนัก 15-36 กิโลกรัม

  5. Booster cushion เป็นคาร์ซีทที่เหมือนหมอนรองนั่งเสริม เพื่อให้คาดเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถให้ปลอดภัยมากขึ้น เหมาะกับเด็กน้ำหนัก 22-36 กิโลกรัม

 

ทั้งนี้ หลังประกาศบังคับใช้ได้ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงทันที มีผลต่อการตัดสินใจ และเลือกหาผลิตภัณฑ์มาใช้แบบที่ไม่อยากถูกปรับหรือทำผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เข้าถึงอุปกรณ์ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ คุณภาพการใช้งาน กำกับราคาและมาตรฐานให้เข้าถึงมากขึ้น

ซึ่ง “คาร์ซีท” สำหรับเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต่อความปลอดภัยของเด็กที่ไม่มีสิทธิเลือกความปลอดภัยให้กับตนเอง แตกต่างกับผู้ใหญ่ที่สามารถเลือกความปลอดภัยให้กับตนเองได้ คงไม่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง หรือครอบครัวใดจะปฏิเสธความจำเป็นของกฎหมายฉบับนี้ ที่จะเป็นอุปกรณ์ป้องกัน และเพิ่มความปลอดภัยให้เด็ก และลูกหลานตนเองเมื่อเจออุบัติเหตุได้ 

 

 
 

นางเบญจกร ทุ่งสุกใส คุณแม่ผู้ประสบอุบัติเหตุ เล่าว่า เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ครอบครัวได้ไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สระบุรี ในรถเดินทางด้วยกัน 3 คน มีตนเองเป็นคนขับ ส่วนพ่อและลูกสาวนั่งเบาะหลัง ซึ่งน้องทาด้าลูกสาววัย 3 ขวบนั่งอยู่บนคาร์ซีทสำหรับเด็ก และได้เกิดอุบัติเหตุเพราะไม่ชำนาญทางบวกกับถนนกำลังซ่อมแซม พอถึงทางโค้งหักศอก ตนเองตกใจเลยหักเลี้ยวกระทันหัน ทำให้รถไถลไปชนเสาไฟฟ้าข้างทาง

ในตอนนั้นตกใจมากเพราะเป็นการขับรถชนครั้งแรกในชีวิต สิ่งแรกที่นึกถึงคือลูกจะปลอดภัยมั้ย แต่พอหันไปเห็นลูกที่นั่งบนคาร์ซีทไม่เป็นอะไรเลย เพราะมีเข็มขัดยึดตึงไว้ มีเพียงโยกเล็กน้อย ส่วนพ่อเด็กและตัวเองบาดเจ็บเล็กน้อยที่ขาและแขน เหตุการณ์นี้ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวตนเอง หากวันนั้นไม่มีคาร์ซีทให้ลูกนั่ง ลูกคงกระเด็นออกไปนอกรถแล้ว จึงอยากฝากให้พ่อแม่ที่มีลูกควรต้องมี ต้องซื้อติดรถ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับใครที่ไหนก็ได้ ไม่มีทางรู้ล่วงหน้า อย่าชะล่าใจว่าไม่เป็นไร อย่าประมาท คิดว่าตัวเองขับรถดีไม่ไปชนใคร แต่อาจจะมีคนอื่นมาชนเราแทนก็ได้ และการฝึกให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่เล็กสำคัญ จะทำให้คุ้นชิน ช่วยให้ลูกปลอดภัย หากเกิดเหตุจะมีโอกาสรอดสูง วันนี้ลูกเราอาจจะโชคดีที่ไม่เป็นอะไร แต่วันข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้นอีก แล้วเราไม่ป้องกัน ก็อาจสายไปแล้วก็ได้

ทั้งนี้ หลังจากการจัดเวทีสาธารณะเสร็จสิ้นลง ทางสำนักสำนักงานเครือข่ายลดอุบติเหตุ (สคอ.) จะเร่งรวบรวมข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะที่ได้จัดทำเป็นหนังสือนำเสนอไปยังศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมผลักดันและขับเคลื่อนมาตรการสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนต่อไป 

[อ่าน 691]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แรบบิท ประกันชีวิต ส่งแผนโปรโมชันรับคุ้ม 2 ต่อ กับ ประกันอุบัติเหตุ PA Prompt และ PA Max
เริ่มแล้ว!! สร้างบ้านได้ลดหย่อนภาษี ‘ล้านละหมื่น’ HBA เชื่อดันเศรษฐกิจ-ตลาดบ้านคึกคัก เพิ่มโอกาสให้มีบ้านง่ายขึ้น
ท็อปส์ “เซ็นทรัล นครปฐม” สาขาที่ 159 ชู 4 กลยุทธ์ สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งสินค้าระดับพรีเมียม
ศิลปินไทยประสบความสำเร็จบน Spotify เพิ่มขึ้น 3 เท่า ด้วยจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 600 ล้านคน
วัตสัน X ยูนิลีเวอร์ ส่งมอบสินค้าสุขภาพ-ความงามในราคาสุดคุ้มภายใต้แคมเปญ Summer Festival
มินนี่ ปรากฏโฉมเป็นนางสงกรานต์มโหธรเทวีครั้งแรกในงาน "ไอคอนสยามมหัศจรรย์เจ้าพระยามหาสงกรานต์ ๒๕๖๗"
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved