“ไมเดีย” ผู้นำเครื่องปรับอากาศระดับโลก เชื่อมั่นประเทศไทย ประกาศรุกตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 3 ใน 5 ปี
27 May 2022

“ไมเดีย” แบรนด์ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศระดับโลก ประกาศทิศทางธุรกิจในไทย เดินหน้ารุกตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์เต็มสูบ ลุยขยายช่องทางจำหน่าย B2B ชูจุดขายเทคโนโลยี Magnetic Centrifugal Chiller ช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมลงทุนสร้างแบรนด์ใช้งบการตลาดปีละ 12% หวังผลักดันยอดขายเติบโต 45% เดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด ตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 3 ใน 5 ปี เชื่อมั่นประเทศไทย เปิดโรงงานเครื่องปรับอากาศในไทยใหญ่สุดในเอเชีย ตั้งเป้าใช้ไทยเป็นฮับส่งออกสินค้าบุกตลาดอาเซียน หนุนการเติบโตทั้งภูมิภาค

 

นายโทนี่ หลิว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ไมเดีย ประเทศไทย เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในประเทศไทยว่า

บริษัทจะมุ่งผลักดันการเติบโตของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ โดยขยายฐานลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) ที่ต้องการวางระบบเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ สำหรับผู้พัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงแรม คอนโดมิเนียม บ้านพักอาศัย ซึ่งจะเติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและจากนโยบายการเปิดประเทศของภาครัฐโดยจะเดินหน้าขยายทีมงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ตลอดจนการพัฒนาสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างให้แบรนด์ไมเดียเข้าไปนั่งอยู่ในใจของลูกค้าคนไทย

ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบลงทุนในการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ปีละ 12% จากยอดขาย พร้อมให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งการตลาด ทีมขาย เน้นช่องทางการขาย และจัดอบรมสินค้าให้สำหรับโครงการ พร้อมการบริการหลังการขายที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจโดยวางเป้าหมายการเติบโตด้านยอดขายปีนี้ 45% เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายขยายทีมงานที่แข็งแกร่ง ขยายฐานลูกค้าในปีนี้ และตั้งเป้ามีเครือข่ายพาร์ทเนอร์คู่ค้าที่แข็งแรง เพื่อให้ไมเดีย MBT ทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 3 ของตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ VRF, Chiller และเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงาน ในประเทศไทย ภายใน 5 ปีจากนี้

สำหรับกลยุทธ์ที่ใช้ในการรุกตลาด บริษัทจะชูความเป็นแบรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งไมเดียประเทศไทย มีสินค้าตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และเดินหน้าพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง              และยืดหยุ่นโดยเฉพาะในแง่ของเทคโนโลยี และนวัตกรรมสินค้าที่เหมาะกับพฤติกรรมการใช้งานและความต้องการของคนรุ่นใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) สำหรับควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้อยู่อาศัย ฯลฯ ประกอบกับการให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพการบริการหลังการขาย มั่นใจว่าจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

 

 

ในส่วนของของเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นจุดขายของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ บวกกับความหลากหลายของสินค้า ตอบโจทย์ทุกปัญหาไม่ว่าจะเป็นลูกค้ากลุ่มธุรกิจหรือบุคคล โดยปัจจุบันภายใต้แบรนด์ไมเดีย มีสินค้าคลอบคลุมการติดตั้งในทุกขนาดพื้นที่ขนาดใหญ่ เน้น 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ได้แก่  1.เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์แบบ VRF 2.เครื่องปรับอากาศแบบชิลเลอร์ โดยใช้ระบบทำน้ำเย็น คอมเพรสเซอร์ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Centrifugal Chiller) ให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นที่สูง ซึ่งทำให้อายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น พร้อมช่วยในด้านการลดต้นทุนอย่างเหนือชั้น บวกกับการดีไซน์คอมเพรสเซอร์แบบ Back To Back ช่วยให้การทำงานของระบบคอมเพรสเซอร์เสถียรมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ชิลเลอร์ ที่ใช้ซึ่งเป็นการคิดค้นและพัฒนาจากโรงงานไมเดียโดยตรง ทำให้มีความได้เปรียบในด้านอะไหล่ และราคาของตัวเครื่อง นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น​ เทคโนโลยี Full Falling Film Evaporation เทคโนโลยีระบบการระเหยสารทำความเย็น ช่วยประหยัดในส่วนของสารทำความเย็นได้ถึง​ 40% เมื่อเปรียบเทียบกับชิลเลอร์ในแบบปกติ

สำหรับไมเดีย ประเทศไทย เป็นหนึ่งในบริษัทสาขาของ “Midea Group” ซึ่งก่อตั้งมาแล้วกว่า 53 ปี โดยเป็นบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ได้รับการจัดอันดับที่ #288 ประจำปี พ.ศ.2564 (ค.ศ.2021)  จากการจัดอันดับของ Global Fortune 500 สำหรับ ปัจจุบันถือเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลกในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ครอบคลุมหลากหลายสำหรับธุรกิจ, บุคคลและครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์และที่พักอาศัย เครื่องทำความเย็น เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกี่ยวกับน้ำและสำหรับการทำความสะอาดพื้นและให้แสงสว่าง

ในส่วนของเครื่องปรับอากาศ แบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ MBT เทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ และ RAC หรือเครื่องปรับอากาศภายในที่พักอาศัย โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ MBT ก่อตั้งขึ้นในปี 2542 เพื่อผลิต วิจัยและพัฒนาเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ มีการลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ Automation กว่า100 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมมีแผนลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 5%โดยมีโรงงานผลิตและกระจายสินค้าทั่วโลก 6 แห่งในจีนและอิตาลี รวมทั้งทีมงาน R&D กว่า 600 คน

 

นายโทนี่ หลิว กล่าวว่า ด้วยความเชื่อมั่นของบริษัทที่มีต่อประเทศไทย ที่ผ่านมาบริษัทได้ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานผลิต Midea Thailand Smart Factory สำหรับเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย ซึ่งเปิดเดินเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 5) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัยของไมเดียที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังเป็นโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตสูงที่สุดที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีนของไมเดีย กรุ๊ป โดยอนาคตวางเป้าให้โรงงานแห่งนี้เป็นศูนย์กลางส่งออกเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย ไปยังตลาดอาเซียน ซึ่งจะช่วยยกระดับการดำเนินงานให้แก่ประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และข้อได้เปรียบในด้านภาษี อีกทั้งยังช่วยประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้รับผลประโยชน์ในด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างเต็มรูปแบบ

 

 

สำหรับประเทศไทย การเปิดโรงงาน และการขยายธุรกิจเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ MBT ในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญช่วยให้ภาพรวมและเพิ่มสัดส่วนการตลาดให้แบรนด์ไมเดีย เติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น  ซึ่งไทยถือเป็นตลาดที่กลุ่มบริษัทไมเดียให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยสามารถสร้างยอดขายคิดเป็นสัดส่วน ถึง 47% ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างการเติบโตในไทย ทั้งด้านยอดขายและกำไรได้อย่างชัดเจน รวมถึงจุดแข็งในด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในองค์ประกอบสำคัญเช่น คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์ และ PCB Board ที่เป็นผู้ผลิตและกระจายการขนส่งเองได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการมีช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งลูกค้าธุรกิจองค์กรร้านค้า สำหรับธุรกิจ HVAC และการจำหน่ายให้ลูกค้าบุคคลทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำและตัวแทนจำหน่ายตามภูมิภาคต่างๆ

“ประเทศไทยถือได้ว่าถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียน ที่มีดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจและมีศักยภาพในการเติบโตเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน การดำเนินธุรกิจนี้ในไทยจะทำให้ไมเดียสามารถเชื่อมต่อเป็นศูนย์กลาง และทำให้ซัพพลายเชนทั้งระบบดำเนินงานอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น และยังมีโอกาสในการขยายตลาดลูกค้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มลูกค้าจากอีคอมเมิร์ซ ที่มียอดขายเติบโตสูงมากในปีที่ผ่านมา” นายโทนี่ หลิว กล่าวทิ้งท้าย

[อ่าน 1,378]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทีเส็บเจาะตลาด MI นานาชาติ ชูเส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน เปิดตัวทริปสุขภาวะ ขบวนรถไฟเอ็กซ์คลูซีฟ สถานที่จัดงานหลากหลาย
SME D Bank ร่วมแสดงความยินดี กับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM คนใหม่
THANA ดันบ้านประหยัดพลังงาน “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” คว้าฉลากเบอร์ 5 จาก กฟผ. เจาะกลุ่ม First Jobber
OR ร่วมกับ บางกอกแอร์เวย์ส นำร่องใช้น้ำมัน SAF ที่ผลิตในไทยเป็นครั้งแรก ยกระดับการบินสู่ความยั่งยืน
ศรีจันทร์ รุกตลาดกันแดด เปิดตัว เซรั่มกันแดดกุหลาบ ตอกย้ำแนวคิด “แดดเมืองไทยไม่มีใครเข้าใจเท่าเรา”
คาเฟ่ อเมซอน ดันกาแฟพรีเมียม “Selected Cup” คว้า “อิ้งค์ วรันธร” เสริมภาพลักษณ์ผู้นำตลาด
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved