‘บะหมี่สำเร็จรูป’ ทุกยี่ห้อจับมือขึ้นเวทีเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีแถลงข่าวขอปรับราคาเป็นซองละ 8 บาท เผยแบกต้นทุนไม่ไหว เต็มเหนี่ยวจริงๆ เจอหนักๆ สุดกลั้นมา 9 เดือน ทั้งต้นทุนแป้งสาลี น้ำมันปาล์ม ต้นทุนราคาน้ำมันและค่าขนส่ง รวมๆ กันกว่า 2 บาทแล้ว ยังไม่นับรวมต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐเตรียมปรับอัตราจ้างใหม่ เผยทุกค่ายต้องปรับยุทธวิธีขายตลาดต่างประเทศหนีตาย เพราะสามารถขายตามราคาต้นทุนที่แท้จริงได้ กับลดทำโปรโมชั่น พร้อมวิงวอนกรมการค้าภายในให้เห็นความจำเป็นของผู้ประกอบการ
ประวัติศาสตร์สินค้า FMCG ต้องจารึก เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่บะหมี่สำเร็จรูปรายหลักๆ ของประเทศไทยจับมือกันขึ้นเวทีเพื่อแถลงถึงความจำเป็นเพื่อขอปรับราคาเป็นซองละ 8 บาท ประกอบด้วย
คุณพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักอำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) แบรนด์ "มาม่า",
คุณปริญญา สิทธิดำรง กรรมการ บริษัท โชคชัยพิบูล จำกัด แบรนด์ “ซื่อสัตย์”, “จายา” และ “โคคา”,
คุณวีระ นภาพฤกษ์ชาติ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด แบรนด์ "ไวไว"
คุณกิตติพศ ชาญภาวรกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วันไทย อุตสาหกรรมอาหาร จำกัด แบรนด์ "ยำยำ"
คุณฮิจิริ ฟูกุโอกะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชชิน ฟูดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด แบรนด์ "นิชชิน"
ต้นทุนเป็นกราฟพุ่งชัน
สถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่ คุณพันธ์ พะเนียงเวทย์ บอกว่า “กราฟต้นทุนสินค้านั้นพุ่งขันเป็นด้านข้างตัว A แต่ไม่ปักหัวลงสักที” ทั้งนี้ วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตบะหมี่สำเร็จรูป คือ แป้งสาลี และน้ำมันปาล์ม ซึ่งกลายเป็นต้นทุนหนักหนาที่แบกรับไม่ไหว อาทิ
ทั้งนี้ กล่าวให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ต้นทุนที่ขยับเหล่านี้ เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อซองก็มากกว่า 2 บาทแล้ว ไม่นับต้นทุนจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำที่ภาครัฐเตรียมจะปรับฐานในเร็วๆ นี้
วอนขอความเห็นใจกรมการค้าภายใน
เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นสินค้าควบคุมราคา การจะปรับราคาขายปลีกมิอาจทำได้ด้วยตนเอง หากแต่ต้องขออนุญาตจากกรมการค้าภายใน ที่สำคัญ ปฏิเสธไม่ได้ว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือ การชี้วัด ‘ดัชนีความสุข’ ของคนไทยและการชี้วัด GDP เศรษฐกิจไทยอย่างง่ายๆ ด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากช่วงที่ข้าวยากหมากแพง ยอดขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะพุ่งทะยาน เนื่องจากอิ่มอร่อยได้ในราคาประหยัด
แต่จากภาวะต้นทุนที่สุดฝืน ทำให้บรรดาผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่างทยอยยื่นปรับราคาสินค้าชนิดซอง 6 บาท ต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ไปตั้งแต่ต้นปี 2565 พร้อมทั้งทำรายงานแจกแจงต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ไม่ได้ปรับราคามาตั้งแต่ปี 2551 หรือเป็นระยะเวลา 14 ปี โดยมีไทม์ไลน์ ดังนี้คือ
เนื่องจากธรรมชาติของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ้มเปราะบางโดยตรง ดังนั้น ตัวแปรในการอนุมัติการขึ้นราคาจึงมิได้อยู่ที่ตัวเลขแจกแจงต้นทุนเพียงอย่างเดียว หากแต่มีตัวแปรทางด้านสังคมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น เหตุผลแบบ “ช่วยๆ กันไปก่อน” จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในครั้งนี้ หากยังมีเหตุผลทางสังคมแบบ “ช่วยๆ กันไปก่อน”
เชื่อว่า ผู้ประกอบการหลายรายอาจเดินต่อไม่ได้ เพราะเกิดภาวะขาดทุนกันแล้ว
ปรับตัวส่งออกเพราะขายราคาจริงได้
ที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขายได้ ทำให้แต่ละรายล้วนต้องปรับตัว นับแต่การลดโปรโมชั่น เพราะแน่นอนว่า ด้วยต้นทุนเช่นนี้ยิ่งลดยิ่งเจ็บตัว จากเดิมในยุคที่ไม่มีปัญหาราคาวัตถุดิบ ผู้บริโภคก็ได้ซื้อบะหมี่สำเร็จรูปขนาดบรรจุ 10 ซอง ราคา 38-42 บาทมาแล้ว แต่การปรับตัวที่เป็นเนื้อเป็นหนัง แล้วก็ไม่บาดเจ็บ คือ การโฟกัสกับตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเป็นตลาดที่ไม่ได้ควบคุมราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหมือนประเทศไทย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถขายและปรับราคาขายตามต้นทุนที่แท้จริงได้ โดยในตลาดต่างประเทศก็มีการปรับราคาไปแล้ว 2-3 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการเน้นย้ำ คือ มิได้จะหมายความว่า จะไม่ป้อนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของตนเองเข้าตลาดภายในประเทศ หากแต่ต้องลดปริมาณการผลิตและจำหน่ายลง และขณะนี้ได้ลดการทำงานล่วงเวลาสำหรับสินค้าตัวที่มีต้นทุนสูงเกินไปแล้ว