ในยุคปัจจุบันนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีความไม่แน่นอน ทำให้เจ้าของแบรนด์สินค้า และนักการตลาดต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนงานเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งหลายครั้งที่แผนงานไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ อาจจะเกิดจากการวางแผนที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน เกิดความสับสนระหว่างทีม หรือเรียกว่าการทำงานที่ไม่เป็นระบบ จึงทำให้เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องหันมาใช้หลัก SMART Goal เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จได้จากการวางแผนที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในฉบับนี้ Marketing 101 ขอนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายการตลาดให้มีความชัดเจน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยยึดหลัก ‘SMART’ มาแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้นครับ
SMART เป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ 5 ตัวอักษร ซึ่งมาจากคำว่า Specific / Measurable / Achievable / Relevant และ Timely
โดยแต่ละองค์ประกอบจะทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้การกำหนดวัตถุประสงค์ และการการวางแผนงานนั้นมีความชัดเจนสามารถวัดผลได้ ติดตามความคืบหน้าของงานได้ ซึ่งการใช้หลักการ SMART นี้ จะทำให้เจ้าของแบรนด์สินค้า และนักการตลาดมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้มากขึ้น เราลองมาทำความรู้จักกับ หลักการ SMART เพื่อใช้ในการตั้งเป้าหมายนี้กัน ว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง
Specific คือการตั้งเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง ไม่กว้างจนเกินไป และต้องมีความชัดเจนว่าเราต้องการอะไร เพื่อให้เรามีทิศทางในการปฏิบัติติที่ชัดเจนด้วย เช่น เป้าหมายเรื่องยอดขาย หรือ ต้องการหาลูกค้ารายใหม่ เป็นต้น
Measurable คือ เป้าหมายที่เราตั้งนั้น จะต้องสามารถวัดผลได้ มีหลักการ วิธีการ ตลอดจนการคำนวณในเชิงตัวเลข และสรุปผลออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายไว้ลอยๆ ไม่สามารถวัดผล และคำนวณในเชิงตัวเลขได้ ซึ่งหากเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้น สามารถวัดผลออกมาได้ก็จะทำให้เราสามารถรู้ว่าการปฏิบัตินั้นสำเร็จตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด ใกล้เป้าหมายมากน้อยแค่ไหน และควรจะต้องทำอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ในปี 2565 นี้บริษัทต้องการจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นต้น
A = Achievable เป้าหมายที่สามารถสำเร็จได้จริง มีความเป็นไปได้
Achievable คือ เป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นจะต้องมีความเป็นไปได้และสามารถบรรลุได้จริง โดยการเปรียบเทียบกับ จัดลำดับความสำคัญก่อนหลังการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และพิจารณาโดยรวมถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดกับเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป้าหมายที่ดีต้องมีความท้าทายที่สามารถทำให้บรรลุได้
R = Relevant เป้าหมายที่สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ต้องการในระยะยาว
Relevant คือ การนึกถึงความเกี่ยวข้องของเป้าหมายขององค์กรในวงกว้างนอกเหนือจากแผนงานที่ดำเนินการก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายในระยะยาวขององค์กร จะช่วยทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้มีคุณภาพมากกว่า เช่น ถ้าฝ่ายการตลาดกำลังเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณต้องพิจารณาว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจในระยะยาวหรือไม่ อย่างไร เป็นต้น
T = Timely เป้าหมายที่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน
Timely คือการกำหนดเวลาของเป้าหมายที่ชัดเจน การตั้งเป้าหมายทุกครั้งต้องมีระยะเวลาจำกัด หรือระยะเวลาประเมินผลซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะชี้วัดว่า เป้าหมายนั้นสำเร็จหรือไม่ และสำเร็จเมื่อใด อีกทั้ง ‘เวลา’ ยังจะเป็นตัวกระตุ้นเรื่องของความมีวินัยของเรา หากเราสามารถกำหนดระยะเวลาอย่างเหมาะสมและอยู่บนความเป็นไปได้ เวลาก็จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับการทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ปี 2565 นี้ บริษัทต้องการเพิ่มลูกค้าใหม่ 25% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ผ่านมา โดยจะมีการประเมินผลทุกๆ 4 เดือน เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงแผนงาน เป็นต้น
การดำเนินธุรกิจต่างๆ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมี เป้าหมาย จะเห็นว่าหลักการ SMART เจ้าของแบรนด์สินค้าและนักการตลาดสามารถเอาไปใช้ได้กับการตั้งเป้าหมายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนงานต่างๆ หลักการนี้จะช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน การวางแผน หรือการลงทุนในด้านการตลาดของธุรกิจได้ดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ลองนำไปใช้กันดูนะครับ