นโยบายสาธารณะยุคบิ๊กดาต้า สู่การถอดรหัสการใช้ “Mobility Data” ผ่านความร่วมมือดีแทค-สถาปัตย์ จุฬาฯ-บุญมีแล็บ
10 Oct 2022

 

ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ทำให้สภาพแวดล้อมทางสังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ภาคเอกชนมีการนำข้อมูลบิ๊กดาต้ามาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลาย ขณะที่ภาครัฐในหลายประเทศได้มีการอภิปรายถึงแนวทางการนำ “บิ๊กดาต้า” มาใช้ประโยชน์เพื่อต่อการออกแบบนโยบายสาธารณะ

 

ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย อาจารย์ประจำภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า

ในต่างประเทศเริ่มมีข้อถกเถียงและการอภิปรายถึงประเด็นการใช้ mobility data มาเป็นแนวทางในการพัฒนานโยบาย ตัวอย่างเช่นในนอร์เวย์ สวีเดน ฝรั่งเศส สโลวาเกีย ที่มีการนำ mobility data มาวิเคราะห์รูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวเพื่อการออกแบบยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการดำเนินการวิเคราะห์ mobility data ร่วมกันระหว่างดีแทค คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และบุญมีแล็บในครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของข้อมูล Mobility data ต่อการออกแบบนโยบายสาธารณะที่มีข้อได้เปรียบด้านขนาดข้อมูล ความรวดเร็วในการรวบรวมข้อมูล ต้นทุนที่น้อยกว่าการได้มาซึ่งข้อมูลแบบสำรวจ  หากเราสามารถนำ mobility data มาใช้ในการออกแบบนโยบายได้มากขึ้น จะสร้างพลังขับเคลื่อนอันมหาศาลในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

 

 

“mobility data ไม่เพียงแต่จะทำให้ภาครัฐและนักวิจัยเข้าใจสถานการณ์ในสังคมได้ดีละเอียด ชัดเจน และฉับไวมากขึ้น  หากภาคประชาชน ชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จะเป็นการเปิดโอกาสให้สังคมมีทางออกใหม่ให้กับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น”  ผศ.ดร.ณัฐพงศ์ กล่าว

 

เวลา: ตัวแปรสำคัญของการพัฒนา

ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ ซีอีโอของ Boonmee Lab บอกว่า

บริษัทมีเป้าหมายในการนำความรู้ด้านการออกแบบ ดาต้า และเทคโนโลยีมาทำให้เกิดนวัตกรรมเพื่อสังคม และโปรเจ็คนี้ก็เป็นหนึ่งในโปรเจ็คที่ตื่นเต้นที่สุดด้วยลักษณะของ mobility data ที่มีลักษณะเฉพาะ ประกอบกับการมองเห็นถึงศักยภาพในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ

 

 

“โปรเจ็คนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำ mobility data มาวิเคราะห์และนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครั้งแรกของไทย และสามารถต่อยอดไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะเพิ่มเติม นำมาพลิกแพลงได้หลายอย่างจนนำไปสู่ข้อสรุปใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” ฐิติพงษ์กล่าว

 

ในโลกสมัยใหม่ที่ดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และองคาพยพของสังคมอย่างสิ้นเชิง การออกแบบนโยบายสาธารณะก็ควรมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นของสังคม ควรนำแนวคิดการทำงานแบบ agile มาใช้ เพราะหากรัฐยังมีมุมมองต่อนโยบายสาธารณะแบบเดิม ในห้วงระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ประเทศไทยจะตามหลังนานาอารยะประเทศอย่างมาก

“ในยุคที่เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่า ภาครัฐจำเป็นต้องนำเครื่องมือและรูปแบบการทำงานสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ อย่างเช่นโปรเจ็คนี้ที่คาดหวังว่าจะเป็น use case ของการนำ mobility data มาเป็นฐานเพื่อหนดนโยบายอื่นๆ ต่อไป” ฐิติพงษ์กล่าวเน้นย้ำพร้อมยกตัวอย่างกรณีการกำหนดเส้นทางเดินสายรถเมล์ที่อาจใช้ mobility data ร่วมกับข้อมูล CCTV ทำให้ระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

พันธกิจแรกเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ

ภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อธิบายว่า

นับตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาเป็นกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลสะท้อนให้แห็นถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ต่อการพัฒนาสู่ Digital Nation โดยให้ความสำคัญที่ “ข้อมูล” มากกว่า “ระบบไอที” 

ปัจจุบัน สดช. ได้กำหนดทิศทางด้านข้อมูลโดยผลักดันให้ฐานข้อมูลที่เป็นบิ๊กดาต้าเป็นแหล่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ภาครัฐเองยังเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะระบบการได้มาและการจัดเก็บข้อมูลนั้นมีความแตกต่าง ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีการจัดเก็บข้อมูลของตัวเอง โดยทั้งหมดต้องคำนึงถึงนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การออกแบบนโยบายจำต้องให้ทันสถานการณ์ ดังนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้มาซึ่งข้อมูลที่ทันการณ์จึงความสำคัญมาก

 

 

“ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักสถิติแห่งชาติ ผมตระหนักดีถึงบทบาทและความสำคัญของข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลมีการบูรณาการจากหลายแหล่ง วิเคราะห์ได้ถูกจุด ก็จะทำให้ข้อมูลนั้นๆ มีพลังอย่างมาก” เลขาธิการ สดช. กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา แม้การเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐยังเผชิญกับความล่าช้าอันเนื่องมาจากการปรับปรุงกฎหมาย แต่ขณะเดียวกัน รัฐเองก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปฏิรูปข้อมูล ทั้งการจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัลบนระบบคลาวด์ที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นเจ้าภาพ หรือการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (สวข.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเต็มไปด้วยบุคลากรด้าน data scientist เพื่ออำนวยความสะดวกวิเคราะห์ข้อมูลตามโจทย์ที่หน่วยงานรัฐต่างๆ ต้องการ

“ข้อมูลที่เรียลไทม์จะทำให้ภาครัฐสามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การบริหารจัดการน้ำ การรับมือกับภัยพิบัติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญในระยะอันใกล้นี้คือการเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้เป็นแหล่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่มีความสำคัญอย่างมาก” ภุชพงค์ กล่าว

 

 

ก้าวสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ

อรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า

"จุดยืนของดีแทคต่อการใช้ mobility data คือ การขยายความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่อยู่บนสมดุลระหว่างนโยบายความเป็นส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมสังคมเละเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปแบบอย่างแท้จริง"

อรอุมา กล่าวเสริมว่า แม้โครงการฯ นี้จะใช้เวลายาวนานถึง 2 ปี แต่ทีมงานทั้ง 3 ฝ่ายก็ทำมันสำเร็จ แต่นั่นเป็นก้าวแรกเท่านั้น โดยก้าวต่อไปคือ การได้รับความเห็นชอบโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบและนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากงานวิจัยไปปรับใช้ ส่วนปลายทางความสำเร็จคือ การเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงวิธีการใช้ข้อมูลและวิธีการใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาสังคม เช่นเดียวกับกรณีนี้ ที่มีความคาดหวังให้ mobility data สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการท่องเที่ยว ตลอดจนเพิ่มการมีส่วนร่วมขององค์กรส่วนท้องถิ่น

 

 

“หลายคนอาจถามว่าเอกชนจะก้าวขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนโยบายสาธารณะทำไม แต่ดีแทคเราเชื่อว่า สิ่งนี้คือหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมด้วยการใช้ศักยภาพของ mobility data ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษาสร้างประโยชน์ต่อประเทศตามแนวคิด Civil society” อรอุมา อธิบาย

 

 

[อ่าน 1,186]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาชิตะ "ไทยดีเด็ด" อัด 3 รส ปิดท้ายปี ส้มตำไข่เค็ม-ลาบ-ข้าวกุ้งแกะมันเยิ้ม
‘ไชยชนก’ รับหนังสือร้องเรียนจากไรเดอร์ เตรียมถกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หามาตรการช่วยเหลือ
BEM คว้า 2 รางวัลองค์กรเด่นจาก IAA Awards 2025 ตอกย้ำมาตรฐานบริหารและงานนักลงทุนสัมพันธ์โปร่งใส
SYNNEX เปิดคลังลดแรงส่งท้ายปี กับงาน Synnex Big Bang Sale 2025 วันที่ 14–15 พ.ย. นี้
“โอ๊ตไซด์” จับมือพันธมิตรร้านกาแฟกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ เพิ่มโอกาสเข้าถึงนมโอ๊ตคุณภาพสำหรับทุกคน แบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
หมัดเด็ดส่งท้ายปี! MK คุ้มเกินคุ้ม 299 บาท รวมพลังเมนู “ลูกชิ้น MK” ทานได้ไม่อั้น
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved