
เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ยอดขายและกำไรลดลง จากวิกฤตต้นทุนพลังงานทั่วโลกพุ่งสูงและผันผวนอย่างมากซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัวจากนโยบายโควิดเป็นศูนย์ รวมทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงถึงจุดต่ำสุดในรอบ 20 ปี SCGC กระทบหนักจากต้นทุนวัตถุดิบสูงและกำลังการผลิตใหม่เกินความต้องการตลาด ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเจอพิษต้นทุนพลังงานพุ่ง ส่วน SCGP ยังไปได้ดี แม้เจอความผันผวนพลังงาน ภาพรวมเอสซีจีมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง จากการคุมเข้มสภาพคล่อง เน้นลงทุนอย่างรอบคอบในธุรกิจศักยภาพสูงและยั่งยืน
พลิกเกมส์เชิงรุกเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ 1) พลังงานหมุนเวียน 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน 3) ธุรกิจ Smart Living มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย รักษ์โลก มั่นใจเป็นธุรกิจศักยภาพสูงตอบเมกะเทรนด์โลก
รับมือด้วย 3 ธุรกิจเทรนด์โลก
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 3 ปี 2565 ได้รับผลกระทบอย่างสูงจากวิกฤตซ้อนวิกฤตหายปัจจัย ได้แก่ ต้นทุนพลังงานรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี สืบเนื่องจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนพลังงานเอสซีจีเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลก ประกอบกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีนยังทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เอสซีจีมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตครั้งนี้ โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินอย่างแข็งแกร่ง ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทบทวนการลงทุนและชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน มุ่งโครงการที่ผลตอบแทนเร็ว สอดคล้องกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าตามแผน 97% นอกจากนั้น ในไตรมาส 3/2565 ได้ออกหุ้นกู้ทั้งกลุ่มรวม 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น เร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ด้วยการเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์เมกะเทรนด์ของโลก ได้แก่

ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เอสซีจีมุ่งลดต้นทุน เร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงจากขยะ (Refused Derived Fuel : RDF) ทดแทนพลังงานฟอสซิล โดยไตรมาส 3/2565 ธุรกิจซีเมนต์ในไทยมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นถึง 40% จากเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิตส่งผลให้ช่วง 9 เดือนของปี 2565 เอสซีจีมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 34% จาก 18% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และพลังงานแสงอาทิตย์ 195 เมกะวัตต์ (ณ เดือนกันยายน ปี 2565) อีกทั้งต่อยอดเป็นธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรสำหรับตลาดที่อยู่อาศัย โรงงานและนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่
- SCG Solar Roof Solutions และบริษัท เอสซีจี คลีนเนอร์ยี จำกัด (SCG Cleanergy) และพัฒนาระบบซื้อขายไฟฟ้าได้ผ่านแพลตฟอร์ม Smart grid มีฐานลูกค้าชั้นนำครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชน
- ล่าสุด SCGC ร่วมลงทุนกับบริษัท Denka ประเทศญี่ปุ่น ผลิตอะเซทิลีนแบล็ค (Acelylene Black) ใช้เป็นส่วนประกอบในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง
ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน (ASEAN Logistics) ควบรวมธุรกิจโลจิสติกส์กับ บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยบริการที่หลากหลายทั้งบริการคลังสินค้า ระบบห้องเย็น บริการขนส่งสินค้าทั้งทางบก เรือ อากาศ บริการท่าเทียบเรือ และบริการนำเข้า-ส่งออกครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
ธุรกิจ Smart Living ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย รักษ์โลก ได้แก่ นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงาน อาทิ
- SCG Active AIR Quality SCG Bi-ion และ SCG HVAC Air Scrubber โซลูชันจัดการคุณภาพอากาศ กำจัดเชื้อโรค และลดการใช้พลังงานในอาคาร ขณะนี้ได้ติดตั้งแล้วที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาล อาทิ ศิริราช ราชวิถี ราชพิพัฒน์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้างสรรพสินค้า อาทิ เทอร์มินอล 21 พัทยา เซ็นทรัล อยุธยา อาคารสำนักงาน อาทิ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ Kloud by Kbank อาคารอับดุลราฮิม โซน lobby และสถาบันการศึกษา อาทิ วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนเซนต์ดอมินิก โรงเรียนอำนวยศิลป์
- Trinity IOT Ecosystem เทคโนโลยีควบคุมการเปิด-ปิดนวัตกรรมในบ้านอัจฉริยะ
- Wellness Home Hub เทคโนโลยีวัดค่าสุขภาพของผู้อาศัยในบ้าน หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะแจ้งเตือน ไปยังโรงพยาบาลได้ทันที
ยังเดินหน้าลงทุน
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังลงทุนในธุรกิจต่างๆ ได้แก่
- SCGC ลงทุนซื้อหุ้น 70% ซื้อหุ้นในบริษัท ซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส เพื่อขยายกำลังผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง SCGC GREEN POLYMER ป้อนตลาดยุโรปและแอฟริกา
- SCGPได้ขยายการลงทุนสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูง (Deltalab, S.L.) สเปน ส่งออกครอบคลุมตลาดทั่วโลก ทั้งยังขยายกิจการรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีความต้องการสูงและตอบเทรนด์รักษ์โลก ได้แก่ Peute Recycling B.V. (Peute) เนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) สหรัฐอเมริกา
ภาพรวมผลการดำเนินงาน
ทั้งนี้ งบการเงินรวมก่อนสอบทานของ เอสซีจี ในไตรมาส 3/2565 ประกอบด้วย
- รายได้จากการขาย 142,391 ล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามความต้องการของตลาดที่ลดลง สืบเนื่องจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจเคมิคอลส์
- กำไรสำหรับงวด 2,444 ล้านบาท ลดลง 75% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง ต้นทุนพลังงานที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับในไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับ ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 8% เนื่องจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพจเกจจิ้งมีราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด ในขณะที่กำไรสำหรับงวดลดลง 64% เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 ของ เอสซีจี ประกอบด้วย
- รายได้จากการขาย 447,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด
- รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ใน 9 เดือนของปี 2565 ทั้งสิ้น 203,134 ล้านบาท คิดเป็น 45%ของยอดขายรวม เท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- กำไรสำหรับงวด 21,225 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์และต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง
- สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีมูลค่า 929,931 ล้านบาท โดย 46% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากประเทศไทย)

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 และ 9 เดือนของปี 2565 แยกตามรายธุรกิจ ประกอบด้วย
ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC)
- ไตรมาส 3/2565 มีรายได้จากการขาย 57,351 ล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 14% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าปรับตัวลงจากอุปสงค์ที่ลดลง โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 339 ล้านบาท จากส่วนต่างราคาขายสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
- ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 รายได้จากการขาย 193,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,953 ล้านบาท ลดลง 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
- ไตรมาส 3/2565 มีรายได้จากการขาย 51,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายสินค้าส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและในภูมิภาค โดยมีกำไรสำหรับงวด 530 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการสำคัญ (Key Items) จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติสำหรับงวดอยู่ที่ 851 ล้านบาท ลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบรวมทั้งพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 155,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้หากไม่รวมรายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการสำคัญ (Key Items) กำไรจากการดำเนินงานปกติสำหรับงวดเท่ากับ 4,827 ล้านบาท ลดลง 25%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (SCGP)
- ไตรมาส 3/2565 มีรายได้จากการขาย 37,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน การเติบโตของธุรกิจเยื่อและกระดาษ ความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการควบรวมกิจการ (M&P) บริษัท รีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute Recycling B.V. (Peute) เนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) สหรัฐอเมริกา โดยถูกรวมในงบการเงินรวมตั้งแต่กรกฎาคม และกันยายน 2565 ตามลำดับกำไรสำหรับงวด 1,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายกิจการที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับอุปสงค์กลุ่มสินค้าอาหารเครื่องดื่มในอาเซียนเพิ่มขึ้น
- ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 112,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์ (UPPC 3) การขยายธุรกิจจากการควบรวมกิจการ (M&P) ในบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Duy Tan) เวียดนาม ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษ (Intan Group) อินโดนีเซีย ผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Deltalab, S.L.) สเปน และธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Peute)รวมถึงราคาขายสินค้าที่สะท้อนต้นทุน และมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 5,351 ล้านบาท ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มขึ้น

รุ่งโรจน์กล่าวว่า “วิกฤตครั้งนี้มีความท้าทายสูง แต่ผมเชื่อมั่นว่า เอสซีจีจะผ่านสถานการณ์นี้และกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จากการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจอย่างทันท่วงที ลดต้นทุน ชะลอโครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน ปรับแผนการผลิตให้เหมาะกับความต้องการตลาด ขณะเดียวกันลงทุนเพิ่มในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูง (New S-Curve) ส่วนธุรกิจที่ SCGP เข้าไปลงทุน ยังเติบโตต่อเนื่องด้วยดี สถานะทางการเงินและกระแสเงินสดของเอสซีจียังแข็งแกร่ง ภาระการลงทุนน้อยลง เนื่องจากโครงการ LSP เสร็จสิ้นไปแล้ว 97% ด้วยการสื่อสารสร้างความเข้าใจแก่พนักงาน คู่ค้า คู่ธุรกิจ และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความร่วมมือฝ่าวิกฤตครั้งนี้เป็นอย่างดี”
[อ่าน 1,532]