ราคาน้ำมันดีเซลสูง พ่นพิษธุรกิจไทยอย่างไร
02 Mar 2023

ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในปี 2565 โดยราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ 33 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นราว 7 บาทต่อลิตรเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ 37 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้นราว 9 บาทต่อลิตรเทียบกับปีก่อนหน้า สาเหตุส่วนหนึ่งของราคาที่เพิ่มขึ้นมากเป็นผลกระทบของการคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้อุปทานน้ำมันดิบในตลาดโลกตึงตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น และคาดว่ายังอยู่ในระดับสูงในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า

แนวโน้มดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจของไทยโดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้น้ำมันสำเร็จรูปอย่างเข้มข้น บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงแนวโน้มราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในระยะข้างหน้า และผลกระทบที่มีต่อภาคธุรกิจของไทย

 

I. ทำความรู้จักกับโครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทย

ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูป ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก โดยรายละเอียดมีดังนี้

1. ราคาหน้าโรงกลั่น เป็นราคาขายน้ำมันสำเร็จรูปของผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน  ซึ่งอ้างอิงจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ซื้อขายผ่าน Singapore International Monetary Exchange (SIMEX) ซึ่งจะผันแปรตามต้นทุนน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของธุรกิจโรงกลั่นในสิงคโปร์ และค่าการกลั่นของสิงคโปร์ (GRM) โดยราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินเฉลี่ยทั้งปี 2565 อยู่ที่ 30.2 บาท/ลิตร และ 25.9 บาท/ลิตร1

2. ภาษีสรรพาสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ และศีลธรรม รวมทั้งมีลักษณะฟุ่มเฟือย และสินค้าและบริการที่ได้รับผลประโยชน์พิเศษจากกิจการของรัฐ  เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำมันสำเร็จรูป สุรา ยาสูบ  โดยอัตราการเก็บภาษีน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ประมาณ 0.975-6.5 บาท/ลิตร ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำมัน ในปัจจุบัน ภาษีสรรพสามิตดีเซลและเบนซินเฉลี่ย อยู่ที่ 1.34 บาท/ลิตร และ 4.88 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทั้งนี้ ภาษีสรรพสามิตดีเซลในอัตราปัจจุบันได้รับการลดหย่อนจากภาครัฐแล้วที่ 5 บาท/ลิตร ซึ่งมาตรการอุดหนุนดังกล่าวคาดว่าจะสิ้นสุดใน 20 พ.ค. 2566

3. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมัน เพื่อนำไปใช้ชดเชยราคาน้ำมันในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนสูง หรือแพงเกินไป โดยในปี 2565 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยที่ 4.02 บาท/ลิตร ขณะที่เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯเพิ่มจากน้ำมันเบนซินเฉลี่ยที่ 1.24 บาท/ลิตร2

4. ค่าการตลาด เป็นกำไรขั้นต้นก่อนหักค่าใช้ในการดำเนินงาน เช่น ค่าขนส่งค่าแรงงาน และค่าใช้จ่ายบริหารและการตลาด ของผู้ค้าน้ำมันสำเร็จรูปทั้งหมด ซึ่งแบ่งกันระหว่างบริษัทค้าน้ำมันสำเร็จรูป เช่น บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และเจ้าของสถานีบริการเชื้อเพลิง (ปั๊มน้ำมัน) โดยในปี 2565 ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและเบนซินเฉลี่ยอยู่ที่ 1.28 บาท/ลิตร และ 3.03 บาท/ลิตร ตามลำดับ

 

II. แนวโน้มราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูป ในปี 2566-2567 จะเป็นอย่างไร?

ในบทความนี้จะเน้นการวิเคราะห์ทิศทางราคาน้ำมันดีเซลเป็นหลักเนื่องจากเป็นต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการขนส่งทางถนนที่มีสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลสูงถึงราว 60% ของปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมดในไทย ขณะที่น้ำมันเบนซินส่วนใหญ่ถูกใช้ในรถยนต์ส่วนบุคคลในภาคครัวเรือน

ทิศทางราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในปี 2566 ได้รับผลกระทบจากการบริหารจัดการราคาในปี 2565 โดยในปี 2565 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยของไทยแม้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 25.9 บาท/ลิตร ในปี 2564 เป็น 33.1 บาท/ลิตร หรือราว 7 บาท/ลิตร แต่การเพิ่มขึ้นของราคาขายปลีกนั้นน้อยกว่าการปรับขึ้นของราคาหน้าโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้นจาก 16.4 บาท/ลิตร ในปี 2564 เป็น 30.2 บาท/ลิตร หรือราว 14 บาท/ลิตร ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นจาก 68.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2564 เป็น 97.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาครัฐได้อุดหนุนราคาขายปลีกดีเซลเฉลี่ยทั้งปี 2565 ถึง 4 บาท/ลิตร อีกทั้ง ยังปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเฉลี่ยลงจาก 6.3 บาท/ลิตร ในปี 2564 เป็น 3.3 บาท/ลิตร ดังนั้น การบริหารจัดการราคาของรัฐพยุงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในปี 2565 ไว้ราว 7 บาท/ลิตร ซึ่งการบริหารจัดการนี้เองจะส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาในปี 2566

สำหรับปี 2566 Krungthai COMPASS คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจาก 33.1 บาท/ลิตร ในปี 2565 เป็น 34.7 บาท/ลิตร ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักจาก 1) คาดว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) จะกลับมาเก็บเงินจากน้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกครั้ง หลังจากนำเงินจากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปอุดหนุนราคาขายปลีกดีเซลในปี 2565 2) ภาครัฐมีแนวโน้มปรับภาษีสรรพสามิตดีเซลเพิ่มขึ้น โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

1. คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีแนวโน้มจะกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซลที่ราว 2.7 บาท/ลิตร7 เทียบกับปี 2565 ที่เคยอุดหนุนถึง 4 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท (ณ 29 ม.ค. 2566) โดย Krungthai COMPASS คาดว่า กบน.จะเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยราว 4.9 บาท/ลิตร ในช่วง 1 ม.ค.2566 -20 พ.ค. 2566 และจะลดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลงเหลือเพียง 1.2 บาท /ลิตร ตั้งแต่ 20 พ.ค. 2566 หลังมาตรการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร สิ้นสุดลง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในช่วง 33-35 บาท/ลิตร ตามแนวทางของภาครัฐ

2. ภาครัฐมีแนวโน้มการปรับเพิ่มการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 4.7 บาท/ลิตร ในปี 2566 เทียบกับปี 2565 ที่ 3.3 บาท/ลิตร เพราะคาดว่าภาครัฐจะปรับภาษีสรรพสามิตดีเซล ซึ่งเมื่อรวมถึงภาษีเทศบาลเพิ่มขึ้นจาก 1.47 บาท/ลิตร เป็น 6.97 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 2566 ในกรณีที่ภาครัฐไม่ต่ออายุการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร

แม้ว่าการเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและการกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของภาครัฐในปี 2566 สามารถทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นได้ถึง 8.2 บาท / ลิตร อย่างไรก็ดี ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเพียง 1.6 บาท / ลิตรในปี 2566 เพราะราคาหน้าโรงกลั่นเฉลี่ยมีแนวโน้มลดลงจาก 30.2 บาท/ลิตร ในปี 2565 เป็น 23.6 บาท/ลิตร ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้

1. ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบนหลักของโรงกลั่นน้ำมันของไทยลดลงจาก 97.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2565 เป็น 80.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล ในปี 2567 เนื่องจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1.1% YoY ในปี 2566 ซึ่งเป็นผลจากการมีกำลังการผลิตใหม่ของน้ำมันดิบจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ บราซิล แคนาดา และนอร์เวย์ ที่มีแผนจะเข้าสู่ตลาดในปี 2566

2. ค่าการกลั่น (GRM) ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทย มีแนวโน้มลดลงจาก 20.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2565 เป็น 8.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล ในปี 25668 เพราะความต้องการในการกลั่นน้ำมันในสิงค์โปร์คาดว่าจะชะลอลง หลังจากน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียมีแนวโน้มเข้ามาเอเชียมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากสหภาพยุโรปที่ห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์น้ำมันจากรัสเซียตั้งแต่ 5 ก.พ. 2566

 

สำหรับปี 2567 คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยจะกลับมาลดลงเหลือ 32.9 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุหลักมาจาก 1) ราคาน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นเฉลี่ยทั้งปีคาดจะลดลงในปี 2567 2) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีแนวโน้มปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้

1. ราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มลดลงจาก 23.6 บาท/ลิตร ในปี 2566 เป็น 21 บาท/ลิตร ในปี 2567 โดยมีสาเหตุมาจาก 1) ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบนหลักของโรงกลั่นน้ำมันของสิงคโปร์และไทยลดลงจาก 80.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2566 เป็น 79.4 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล ในปี 2567 เพราะปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% YoY ในปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ9 และ 2) ค่าการกลั่น (GRM) ของสิงคโปร์ มีแนวโน้มลดลงจาก 8.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล ในปี 2566 เป็น 7.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล ในปี 2567 เนื่องจากความต้องการในการกลั่นน้ำมันในสิงค์โปร์คาดว่าจะชะลอลง หลังน้ำมันสำเร็จรูปจากคูเวตมีแนวโน้มเข้ามาในเอเชียมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากโรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex Refinery แห่งใหม่ของคูเวตที่มีแผนทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปจนเต็มกำลังการผลิตภายในปี 2567

2. คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีแนวโน้มปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยจาก 2.7 บาท/ลิตร ในปี 2566 เป็น 1.2 บาท / ลิตร ในปี 2567  เนื่องจาก Krungthai COMPASS มองว่า ภาครัฐมีแนวโน้มปรับภาษีสรรพสามิต ซึ่งเมื่อรวมถึงภาษีเทศบาลเพิ่มขึ้นจาก 1.47 บาท/ลิตร เป็น 6.97 บาท/ลิตร หากภาครัฐไม่ต่ออายุการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 พ.ค. 2566

 

 

ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ยังมีทิศทางขาขึ้นในปี 2566 ย่อมสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้น เช่น กลุ่มธุรกิจขนส่ง เพราะภาคส่วนนี้มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมัน ซึ่งส่วนมากเป็นน้ำมันดีเซล ต่อต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยสูงถึง 39.9% ในปี 2565 ดังนั้น Krungthai COMPASS จึงจะได้วิเคราะห์ผลกระทบจากค่าน้ำมันดีเซลต่อกำไรสุทธิของภาคธุรกิจดังกล่าวในหัวข้อถัดไป

 

III. แนวโน้มค่าน้ำมันดีเซลจะส่งผลกระทบต่อกำไรของภาคธุรกิจของไทยมากน้อยเพียงใด?

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทุก 1% ของค่าน้ำมันดีเซลเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตรากำไรสุทธิโดยรวมของธุรกิจของไทยลดลงประมาณ 0.06% ซึ่งอยู่ภายใต้สมมุติฐานที่ว่าต้นทุนอื่นๆ นอกเหนือจากค่าน้ำมันดีเซล และรายได้คงที่ในช่วงปี 2564-67 โดยเป็นการประเมินจากสัดส่วนต้นทุนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจทั้งหมด 180 ประเภทจาก I/O Table ของสภาพัฒน์ฯ ซึ่งพบว่า สัดส่วนระหว่างค่าน้ำมัน ซึ่งส่วนมากเป็นน้ำมันดีเซลและต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยของธุรกิจโดยรวมอยู่ที่ราว 7.5% ในปี 2565 ซึ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับราคาขายปลีกน้ำดีเซลเฉลี่ยทั้งปี 2566 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.9%YoY (เพิ่มขึ้นจาก 33.06 บาท/ลิตร ในปี 2565 เป็น 34.67 บาท/ลิตร ในปี 2566) จะส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของภาคธุรกิจโดยรวมลดลงจาก 0.67% ในปี 2565 เป็น 0.38% ในปี 2566 สำหรับปี 2567 ที่ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยทั้งปีมีแนวโน้มลดลง 5.0%YoY (ลดลงจาก 34.67 บาท/ลิตร ในปี 2566 เป็น 32.92 บาท/ลิตร ในปี 2567) ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของภาคธุรกิจของไทยเพิ่มขึ้นจาก 0.38% ในปี 2566 เป็น 0.7% ในปี 2567

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลค่อนข้างมาก เป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนต้นทุนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดที่สูงในปี 2565  ได้แก่ ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล (ค่าน้ำมันคิดเป็น 53.80% ของต้นทุนทั้งหมด14) ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางถนน (40.31%14) ธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนน(26.32%) ธุรกิจผลิตเหล็กและเหล็กกล้าแผ่น(12.72%14) และธุรกิจผลิตน้ำมันปาล์ม (11.30%14) เมื่อพิจารณาจากธุรกิจที่ใช้น้ำมันอย่างเข้มข้น พบว่า ธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนและธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางถนนใช้น้ำมันดีเซลมากที่สุดในประเทศ สะท้อนจากสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลของภาคส่วนนี้ที่สูงถึงราว 60% ของปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมดใน 10 เดือนแรกของ ปี 2565 ดังนั้น Krungthai COMPASS จึงมาวิเคราะห์ผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลต่ออัตรากำไรสุทธิของธุรกิจทั้งสอง ดังนี้

อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจที่ใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้น อย่างธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางถนนและธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนมีแนวโน้มลดลง 0.43% และ 0.27% หากราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% โดยเป็นการประเมินภายใต้สมมุติฐานที่ต้นทุนอื่นๆ นอกเหนือจากค่าน้ำมันดีเซลและรายได้คงที่ในช่วงปี 2564-67 ดังนั้น หากสัดส่วนระหว่างค่าน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำมันดีเซล และต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจดังกล่าวอยู่ที่  40.31% และ 26.32% และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเป็น 34.7 บาท/ลิตร ในปี 2566 และ 32.9 บาท/ลิตร ในปี 2567 (รูปที่ 3)

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางถนนลดลงจาก -4.30% ในปี 2565 เป็น -6.35% ในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็น -4.13% ในปี 2567 ส่วนอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยของธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนนจะลดลงจาก -0.54% ในปี 2565 เป็น –1.83% ในปี 2566 ก่อนที่จะฟื้นตัวเป็น -0.43% ในปี 2567

 

 

ค่าน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2566 ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มขนส่งทางถนน จำเป็นต้องหาแนวทางในการลดการใช้น้ำมันในการขนส่งสินทางถนน รวมถึงการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากค่าน้ำมันในอนาคต ซึ่งจะอธิบายแนวทางดังกล่าวในหัวข้อถัดไป

 

IV. แนวทางในการลดการใช้น้ำมันของภาคธุรกิจ

ภาคธุรกิจโดยรวมของไทย โดยเฉพาะภาคขนส่งทางถนนใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้น คาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันปลีกดีเซลที่คาดว่ายังอยู่ในระดับสูงในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมของการใช้ยานพาหนะที่ไม่เหมาะสม เช่น ขับยานพาหนะเร็วเกินไป ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันสูงสุดถึง 27% ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาแนวทางในการลดพฤติกรรมดังกล่าว รวมถึงแนวทางในการปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากค่าน้ำมันดีเซลในระยะข้างหน้า โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้

  • ควรติดตั้งเทคโนโลยี Real-time GPS Tracking หรือ Telematics ในยานพาหนะขนส่งสินค้า หรือยานพาหนะโดยสาร เพื่อควบคุมพฤติกรรมการใช้ยานพาหนะที่สิ้นเปลืองน้ำมัน เช่น ขับยานพาหนะเร็วเกินข้อกำหนดตามกฎหมาย ขับยานพาหนะนอกเส้นทางที่กำหนด และจอดรถยานพาหนะติดเครื่องและเปิดเครื่องปรับอากาศนอน โดยวิธีดังกล่าวจะช่วยลดการใช้น้ำมันของยานพาหนะประมาณ 10-30%16
  • ควรจัดตั้งคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้า ตามแหล่งต่างๆ ที่สามารถส่งต่อไปยังจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้านของลูกค้าหลัก รวมถึงการรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการหลายราย ไว้ที่จุดพักสินค้า แล้วจัดเส้นทางการขนส่งสินค้าร่วมกันด้วย เพื่อลดระยะเวลาขนส่งสินค้า และระยะเวลาในการรอสินค้าของผู้ซื้อ รวมทั้ง ลดพื้นที่ว่างในการขนส่งสินค้าและขนส่งเที่ยวเปล่าในแต่ละเที่ยว ซึ่งทำให้การใช้น้ำมันในการขนส่งสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ควรเปลี่ยนมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแทนการใช้รถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันดีเซล (Internal Combustion Engine: ICE)  เนื่องจากการหันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าจะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยได้ถึง 50% แม้ว่าราคารถบรรทุกไฟฟ้าสูงกว่ารถบรรทุกทั่วไปประมาณ 2 เท่า แต่รถบรรทุกทั่วไปมีค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงมาก เพราะมีระยะทางการขนส่งเฉลี่ยมากกว่า 100,000 กิโลเมตร / ปี จึงทำให้คุ้มค่าในการลงทุนซื้อภายใน 3-4 ปี โดยรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ในบทความเรื่อง “Green Logistics เมื่อบริบทโลกเปลี่ยนไป...การขนส่งสินค้าทางถนนไทยต้องเปลี่ยนตาม“

 

บทสรุป

ค่าน้ำมันถือเป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญของภาคธุรกิจโดยรวมของไทย โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะยังอยู่ในระดับสูงในช่วงปี 2566-67 เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มที่จะเก็บเงินเพิ่มจากการขายน้ำมันดีเซล เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท ณ 29 ม.ค. 2566 หลังจากภาครัฐอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลสูงถึง 4 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันในระดับดังกล่าว ส่งผลให้กำไรสุทธิของภาคธุรกิจมีแนวโน้มลดลง  โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้น เช่น กลุ่มธุรกิจขนส่ง ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวโดยมีตัวอย่างทางเลือก ได้แก่ 1) การติดตั้งเทคโนโลยี Real-time GPS Tracking หรือ Telematics 2) ควรตั้งศูนย์กระจายสินค้า ตามแหล่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับจังหวัด ของลูกค้าหลัก รวมทั้งขนส่งสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ใช้เส้นทางร่วมกัน 3) หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแทนที่การใช้รถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันดีเซล

 


1 อ้างอิงจาก 1) หลักสูตรด้านวิทยาการพลังงาน สำหรับนักศึกษา รุ่น 4 (วพศ. 4) E304 ธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจค้าปลีกน้ามัน (2562) 2) EPPO (2559) 3) CEIC (ธ.ค. 2565) 4) รวบรวมโดย Krungthai COMPASS
2  อ้างอิงจาก 1) หลักสูตรด้านวิทยาการพลังงาน สำหรับนักศึกษา รุ่น 4 (วพศ. 4) E304 ธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจค้าปลีกน้ามัน (2562) 2) EPPO (2559) 3) CEIC ( ธ.ค. 2565) 4) รวบรวมและคำนวณโดย Krungthai COMPASS
3 คำนวณโดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจากบทความ เรื่อง “สถานการณ์การใช้น้ำมันและไฟฟ้าของไทย ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565
4 อ้างอิงจาก บทความ เรื่อง “5 คำถาม-คำตอบเรื่องวุ่นๆ ของการอุ้มดีเซล” , 101PUB (มี.ค.2565)
5 อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus (ม.ค. 2566)
6 อ้างอิงจากบทความเรื่อง “คลังชี้ลดภาษีน้ำมันแล้ว ราคาดีเซลควรลดทันทีลิตรละ 2 บาท” ,นสพ.ฐานเศรษฐกิจ (17 ม.ค. 2566)
7 อ้างอิงจากShort-Term Energy Outlook , EIA(ก.พ.2566) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS   
8 คาดการณ์โดย Krungthai COMPASS ตามประเมินของ PTT  Asia Plus  BLS Finansia หลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ และหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าล์ (ก..ย.-ธ.ค. 2565)
9 อ้างอิงจาก Short-Term Energy Outlook, EIA (ก.พ.2566) และรวบรวมโดย Krungthai COMPASS
10 คาดการณ์โดย Bloomberg Consensus (ม.ค. 2566)
11 Al-Zour Refinery Project, NS ENERGY (เปิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2566)
12 เป็นค่าเฉลี่ยของสัดส่วนต้นทุนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจขนส่งทางทะเล ธุรกิจขนส่งโดยสารทางถนน และธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนน โดยสัดส่วนดังกล่าวประมาณการ ตามต้นทุนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดของ I/O table
13 ประเมินโดย Krungthai COMPASS ตาม I/O table ณ ปี 2558 ของสภาพัฒน์ฯ
14 ประเมินโดย Krungthai COMPASS ตาม I/O table ณ ปี 2558 ของสภาพัฒน์ฯ
15  คำนวณโดย Krungthai COMPASS โดยใช้ข้อมูลจากบทความ เรื่อง “สถานการณ์การใช้น้ำมันและไฟฟ้าของไทย ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565”
16  Can Fleet Software Reduce Fuel use ?, Adam Rowe (เปิดเมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2566)
17 Green Logistics เมื่อบริบทโลกเปลี่ยนไป...การขนส่งสินค้าทางถนนไทยต้องเปลี่ยนตาม, Krungthai COMPASS (พ.ย. 2565)

[อ่าน 755]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เผยลักษณะสำคัญของ Savvy Explorers ในเอเชียแปซิฟิก
อโกด้าเผยไทยติดอันดับ 2 จุดหมายยอดฮิตของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นช่วงโกลเดนวีค
เปิดโพล!! คนไทยคิดอย่างไรกับสงกรานต์ 21 วัน
หลุยส์คาเฟ่ ปลุกกระแสแบรนด์เนมตื่น เอนเกจพุ่ง 950 % หลังเปิดตัวเพียงครึ่งเดือน
สัญญาณดีๆ ของปี 2023 มีส่งต่อปี 2024 ไหม
TikTok ร่วมพัฒนาอนาคตแห่งความบันเทิงและการค้าในปี 2567
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved