SCG ปรับโครงสร้างธุรกิจ คว้าโอกาสตลาดโต 6 เท่า ส่ง SCG Decor เข้าตลาดแทน COTTO พร้อมแลกหุ้น
03 Apr 2023

เอสซีจี ปรับโครงสร้างพร้อมรับการเติบโต ด้วยการเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ เพื่อขออนุมัตินำหุ้น COTTO ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเตรียมส่งบริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decor บริษัทแกนหลักของ เอสซีจี ในการประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ในไทยและอาเซียน

โดย SCG Decor จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน เผยภายใต้ชายคา SCG Decor ที่ทำตลาดครอบคลุมกลุ่มธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจร และครอบคลุมตลาดอาเซียนทำให้มีโอกาสเติบโตได้มากกว่าเดิมถึง 6 เท่าและสามารถต่อยอดศักยภาพการเป็นองค์กรระดับภูมิภาคได้

 

 

โครงสร้างภายใต้ SCG Decor

นำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (SCG Decor) เปิดเผยว่า

 

 

“COTTO เป็นบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องและมีผลประกอบการที่ดี โดยมียอดขายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33% อีกทั้งนักลงทุนให้ความสนใจและเชื่อมั่นด้วยดีตลอดมา อย่างไรก็ตาม COTTO ยังมีโอกาสขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิว ดังนั้น การปรับโครงสร้างภายใต้ชายคา SCG Decor ก็จะทำให้สามารถขยายสินค้าให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิวที่เรียกว่า Decor Surfaces และสุขภัณฑ์ตลอดจนสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือกลุ่ม Bathroom และ Complementary Product พร้อมทั้งขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ภายใต้ SCG Decor จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น ตลอดจนมีเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่ายทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน โดยมีกลุ่มบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้แก่

 

  1. บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศไทย มียอดขายกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33%
  2. บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด (SSW) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ มียอดขายสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 32.8%
  3. Prime Group ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนาม มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในเวียดนามด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26.4%
  4. Mariwasa-Siam Ceramics, Inc (MSC) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศฟิลิปปินส์ มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในฟิลิปปินส์ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 16.8%
  5. PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk (KIA) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากร 274 ล้านคน สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 

 

Business Synergy

ภายใต้ชายคาของ SCG Decor ซึ่งรวมกลุ่มธุรกิจกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ของ เอสซีจี ตลอดจน Prime Group จากเวียดนาม, Mariwasa-Siam Ceramics, Inc. จากฟิลิปปินส์ และ PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk จากอินโดนีเซีย นั้น ทำให้ SCG Decor สามารถเพิ่มโอกาสทางการตลาดและเร่งการขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่ภูมิภาคอาเซียน ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ก้าวกระโดดจากการทำตลาดในประเทศไทย เปรียบเทียบกับการทำตลาดใน 4 ประเทศ (ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย)ดังนี้

  • ขยายสินค้า จาก COTTO ที่ทำตลาดเฉพาะกระเบื้องปูพื้น/บุผนัง เป็น กระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ เมื่อรวมเป็น SCG Decor 
  • จำนวนประชากร จากเดิมที่ทำตลาดในไทย 71 ล้านคน ขยับเป็น 560 ล้านคน เท่ากับเพิ่ม 7.8 เท่า
  • ยอดขาย จากเดิมที่ทำตลาดในไทย 1.3 หมื่นล้านบาท ขยับเป็น 3 หมื่นล้านบาท เท่ากับเพิ่ม 2.3 เท่า
  • กำไร จากเดิมที่ทำตลาดในไทย 450 ล้านบาท ขยับเป็น 1,200 ล้านบาท เท่ากับเพิ่ม 2.6 เท่า
  • สินทรัพย์ จากเดิมที่ทำตลาดในไทย 11,370 ล้านบาท ขยับเป็น 4 หมื่นล้านบาท เท่ากับเพิ่ม 3.6 เท่า
  • กำลังผลิต จากเดิมที่ทำตลาดในไทย 80 ล้านตารางเมตร ขยับเป็น 180 ล้านตารางเมตร เท่ากับเพิ่ม 2.25 เท่า

 

 

สมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด  กล่าวว่า

“อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก และอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ ทั้งในประเทศไทย รวมถึงเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง รองรับประชากรเกือบ 560 ล้านคน มีมูลค่าตลาดกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ รวมกันกว่า 1.9 แสนล้านบาท  จึงเป็นโอกาสที่  SCG Decor จะขยายธุรกิจและเติบโตต่อไปในอาเซียนได้อีก”

 

อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ปี 2565-2569 ของ ตลาดกระเบื้องเซรามิกในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย  1.2% ขณะที่ตลาดในไทย รวม เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เติบโตเฉลี่ย  7.1% ส่วนตลาดสุขภัณฑ์ในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 2.1% เทียบกับรวม 3 ประเทศข้างต้น เติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.6% (อ้างอิงจาก Euromonitor ปี 2564)  

 

ทั้งนี้ นำพลกล่าวต่อไปถึงจุดแข็งเพิ่มเติมว่า

  1. การเป็นผู้นำในตลาด Surface ทั้งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ขณะที่ตลาดสุขภัณฑ์ก็มี บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัดที่มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกับตลาดเซรามิกศ์ หรือ COTTO เดิม คือประมาณ 33%
  2. การเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากทุกตลาด ทั้งในประเทศไทยที่มีทั้ง COTTO และแบรนด์ๆ อื่นๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเม้นท์  ขณะที่ตลาดต่างประเทศก็แบรนด์อย่างครอบคลุม โดยมี COTTO เป็นแบรนด์ตัวท็อปของทุกประเทศ
  3. การมีสินค้าที่เข้าใจความต้อาการของตลาด เนื่องจากมีโรงงานผลิตของตนเอง รวมทั้งมีทีมออกแบบ ทีม R&D  นั่นจึงทำให้เราสามารถผลิตและพัฒนานวัตกรรม/เทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะการใช้ Robot AI และการอัพเดทเทคโนโลยีที่ทันสมัยตลาดเวลา
  4. การมีตัวแทนจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค โดยมีมากกว่า 800 รายใน 4 ประเทศ มีร้านค้ามากกว่า 1 หมื่นร้านค้า อีกทั้งมีเว็บเพจชั้นนำของทุกประเทศที่ขายสินค้าให้กับ SCG Decor ทั้งหมด  

 

 

กลยุทธ์ขับเคลื่อน SCG Decor

5 กลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อน SCG Decor ให้เติบโตสู่ตำแหน่งผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ได้แก่

  1. ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) จากประเทศไทย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน ซึ่งกลุ่มสุขภัณฑ์ ในประเทศไทย เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง มียอดขายและส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 33% สูงเป็นอันดับ 1 โดยนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ COTTO Smart Toilet ตอบโจทย์เทรนด์ด้านสุขภาพและอนามัย และคาดว่า ในปี 2567 มูลค่าตลาดจะขยับจาก 1.2 หมื่นล้านบาท เป็น 8 หมื่นล้านบาท
  2. ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียนโดยประยุกต์โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของไทยถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเร่งการเติบโต ผลักดันแบรนด์สินค้าทุกประเทศให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เช่น PRIME ในเวียดนาม MARIWASA ในฟิลิปปินส์ และ KIA ในอินโดนีเซีย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งทุกช่องทางการขาย และขยายการส่งออกไปทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมการออกแบบและวิจัย นำเสนอสินค้าหลากหลาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่กลุ่มประหยัด กลุ่มมาตรฐาน และกลุ่มพรีเมียม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA - High Value Added Products & Services) เช่น LT แผ่นปูพื้น Smart Flexible by COTTO” นวัตกรรมวัสดุสร้างความยืดหยุ่น ติดตั้ง-ดูแลสะดวก ลวดลายและสัมผัสเสมือนธรรมชาติ, AIR ION  กระเบื้องฟอกอากาศ และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซม  ปูนกาว และยาแนว เป็นต้น
  3. ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง (Complementary Product/Service) เช่น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งในห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ยาแนวกระเบื้อง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภัณฑ์และห้องน้ำ ฯลฯ ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจร เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ด้านตกแต่งพื้นผิว สุขภัณฑ์ และบริการ ด้วยโซลูชั่นแบบครบวงจรจากการผนึกกำลังของบริษัทในกลุ่มและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสเติบโตในธุรกิจนี้ได้มากกว่า 6 เท่าตัว
  4. บริหารห่วงโซ่อุปทานทั้งด้านการผลิตและการจัดหาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Regional Optimization and Global Sourcing Powerhouse) ผสานความร่วมมือระหว่างฐานการผลิตในภูมิภาคและบริษัทในกลุ่ม เพื่อบริหารกำลังการผลิตในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพและสรรหาผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
  5. เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดของเสียจากการผลิตและนำกลับมาหมุนเวียนเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสร้างรายได้ ลดต้นทุนพลังงานด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (NET ZERO 2050) สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance)

 


ผลประกอบการปี 2563 – 2565 ของ SCG Decor ประกอบด้วย

  • รายได้จากการขาย

    • ปี 2563              24,378.6 ล้านบาท           

    • ปี 2564              25,937.4 ล้านบาท            เพิ่มขึ้น   6.4%

    • ปี 2565             30,253.8 ล้านบาท            เพิ่มขึ้น   16.6 %

  • รายได้จากการส่งออกสินค้าในอาเซียน และอีก 53 ประเทศ

    • กว่า 4,500 ล้านบาท                                 

    • คิดเป็น 15% ของรายได้รวม


 

เสนอซื้อหุ้นCOTTO 2.40 บาท/หุ้น

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการของ COTTO เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 พิจารณาให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น COTTO เพื่อขออนุมัติเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ตามแผนการปรับโครงสร้างบริษัทร่วมกับ SCG Decor โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ

 

  • COTTO ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
  • ต้องไม่มีผู้ถือหุ้นของ COTTO คัดค้านการเพิกถอนหลักทรัพย์เกินกว่า 10% ในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566

 

“เมื่อ COTTO ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว SCG Decor จะยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ยื่นแบบ Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ภายหลังจากแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับ SCG Decor จะเริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG Decor เท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCG Decor

 

หลังจากการทำคำเสนอซื้อสิ้นสุดลง COTTO จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor และยังคงเป็นเจ้าของ COTTO ทางอ้อม จากนั้น SCG Decor จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป” สมิทธิ กล่าว

 

นำพล กล่าวสรุปเพิ่มเติมว่า “บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุน และได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้น COTTO ในปัจจุบัน รวมถึงมอบความไว้วางใจตอบรับคำเสนอซื้อในครั้งนี้ ด้วยการแลกหุ้นและกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor ต่อไป พร้อมทั้งขอเรียนเชิญผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่าน ร่วมเป็นพลังสำคัญในการนำ SCG Decor สยายปีกสู่การเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน”  

 

[อ่าน 832]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'RS' ยกทัพศิลปิน-ดารา ลุยสนามคอมเมิร์ซ ประเดิมส่งศิลปินตัวแม่ “ใบเตย อาร์สยาม”
เอไอเอส X กสทช. ดูแลผู้พิการรอบด้าน ตอกย้ำดิจิทัลเป็นหัวใจการสร้างความเท่าเทียมแก่ทุกกลุ่ม
เอสซีจี ขนกองทัพนวัตกรรมจาก 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงานสถาปนิก 67
“โยเกิร์ต - ณัฐฐชาช์ บุญประชม” อวดแฟชั่นจากแบรนด์ MISTY MYNX คอลเลกชั่นล่าสุด
เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลเกียรติยศแก่สุดยอดตัวแทน “ที่สุดแห่งปี” AIA Annual Agency Awards Presentation 2023
Coach เปิดตัว The Coach Tabby Shop ลาน PARC PARAGON
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved