เคอิจิ โมริ รองกรรมการผู้จัดการ และกรรมการ บริษัท เค ดี ดี ไอ คอร์เปอร์เรชัน กล่าวว่า Telehouse เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลกที่เริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบันบริษัทมีดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหมด 45 แห่ง ในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก และพาร์ทเนอร์ชิพมากกว่า 3,000 ราย สำหรับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติมนั้นการเลือกขยายการลงทุนมาที่กรุงเทพฯ ด้วยเงินลงทุน 74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยก่อนหน้านี้ได้ลงทุนในสิงคโปร์และฮ่องกง Telehouse สำหรับพื้นที่ให้บริการในประเทศไทยมีพื้นที่อาคาร 9,000 ตร.ม. รองรับไฟฟ้าสูงสุด 9.5 เมกะโวลต์แอมแปร์ (MVA) บนทำเลที่พระราม 9
สำหรับโมเดลการทำธุรกิจในไทยบริษัทให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในลักษณะ Interconnection DC คือเป็นการให้บริการเชื่อมต่อจากผู้บริการที่มีอยู่ในไทยไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการเช่าใช้พื้นที่จัดเก็บเพิ่ม กลุ่มบริการด้านคอนเทนต์ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลในการรับส่ง รวมถึงผู้ให้บริการด้านโซลูชั่นต่างๆ บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสและความท้าทายในการลงทุนในไทยเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นศูนย์รวมอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมและผู้ให้บริการอื่นๆ เช่น คลาวด์ คอนเท้นต์ สามารถรับส่งข้อมูลทั้งในและต่างประเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และมีเป้าหมายในการพัฒนาและส่งเสริมระบบโครงข่ายในประเทศไทยโดยเห็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในไทยที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายทั่วโลกของ Telehouse ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2569
เคน มิยาชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตติดอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้าน Internet Banking, Mobile Payment, Internet Game และMobile Broadband บริษัทมองการลงทุนในไทยเป็นการขยายพื้นที่รองรับข้อมมูลจำนวนมากที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้ภาครัฐของไทยมีนโยบายสนับสนุนดาต้าเซ็นเตอร์ ในทางกลับกันหากเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่มีการลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ รัฐบาลของสิงคโปร์มีนโยบายจำกัดการขยายการเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากพื้นที่ที่จำกัดและปัญหาด้านค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้า
ดังนั้นไทยจึงเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่บริษัทเลือกลงทุนและขยายธุรกิจ การมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ไทยจะช่วยให้ผู้บริการคอนเทนต์ลดค่าใช้จ่ายในการรับส่งคอนเทนต์ไปสิงค์โปรและกลับมาไทย รวมถึงประเทศไทยมีจุดเด่นทางด้านที่ตั้งสามารถ Cross border ไปเพื่อนบ้านได้ เช่น กัมพูชา เมียนมาร์ มาเลเซีย และเวียดนาม บริษัทจึงเลือกให้ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ไทยเป็น Regional hub ให้กับกลุ่ม CLMV ที่จะให้บริการลูกค้าที่เป็น Content global brand เป็นการเชื่อมต่อกับลูกค้าที่ Telehouse มีอยู่ทั่วโลก
อย่างไรก็ตามภายในปีนี้จากพาร์ทเนอร์ชิพ 10 รายในไทย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ให้บริการโทรคมนาคม คลาวด์ หรือผู้ให้บริการคอนเทนต์ รวมถึงพาร์ทเนอร์ชิพที่ส่งมอบโซลูชันส์ให้ลูกค้าองค์กรที่มีการตกลงเป็นพันธมิตรแล้ว บริษัทจะขยายความร่วมมือเพิ่มเป็น 30 ราย