กสิกรไทย ชวนนักวิเคราะห์ถอดรหัสประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจ เกาะติดสถานการณ์ โอกาส ความเสี่ยง พร้อมอัพเดทกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ
02 Jun 2023

กสิกรไทยจัดงาน “THE WISDOM Wealth Decoded Exclusive Dinner Talk” เชิญนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทย มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองและแนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวนไม่แน่นอนทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก

 

ตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้งไม่บวกขึ้นอย่างที่คาด ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ทิศทางการลงทุนจะมีแนวโน้มหรือโอกาสรวมทั้งความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างไร รวมถึงวิเคราะห์มุมมองด้านการลงทุน และเกาะติดสถานการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าวิสดอมนำไปปรับใช้ในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ในลักษณะ K-Shaped กล่าวคือ แต่ละอุตสาหกรรมฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่น่าลงทุนในช่วงเวลานี้  ได้แก่ ธุรกิจการท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล โรงแรม ร้านอาหาร สปา เนื่องจากคนไทยมี Service mind เป็นจุดแข็งในการแข่งขัน ธุรกิจเครื่องสำอาง จัดเป็นกลุ่มที่อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ ทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่คนทั่วโลกรู้จัก เข้าถึง และซื้อได้ง่าย  

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากสถิติในอดีตจะพบว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนหลังการเลือกตั้ง โดยตลาดยังคงจับตาดูการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายของรัฐบาลใหม่มองในระยะสั้น ปัจจัยทางการเมืองส่งกระทบต่อ Sentiment ของตลาดหุ้นไทย หรือหุ้นบางตัว จากนโยบายทลายการผูกขาดและเน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อย่างไรก็ตามการจะทำนโยบายลักษณะนี้ให้สำเร็จ ต้องอาศัยระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงพอสมควร ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจึงน่าจะค่อยๆ คลายความกังวลเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ชัดเจนยิ่งขึ้น

โดยอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเป็นขาขึ้นในช่วงหลังเลือกตั้ง และมีโอกาสเป็น S-Curve ใหม่จากแรงซื้อของต่างประเทศ คือ อสังหาริมทรัพย์แนวสูง และนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากนักลงทุนจีนมีแผนย้ายถิ่น และโยกฐานการผลิตมาเมืองไทยมากขึ้น

คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจีนเบอร์ต้นๆ ราว 6-7 ราย เล็งประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา หลังเห็นกำลังซื้อที่ดีของตลาด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอยู่ที่ประมาณ 9,000 คันในปี 2565 ส่วนปี 2566 ผ่านมาไม่กี่เดือนมียอดขายแซงเป็น 20,000-30,000 คัน

 

ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยทุกอุตสาหกรรมประมาณ 70-80% มองว่า ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว กลุ่มที่ยังเติบโตได้คือ กลุ่มอุปกรณ์ไอที ตามเทรนด์โลกที่มุ่งหน้าไปยังดิจิทัลมากขึ้น

แต่หุ้นตัวที่มีโอกาสขึ้นหลายๆ เท่าในเมืองไทย มักจะเกิดจากผู้เล่นบางรายที่เก่งกว่าตลาด ก่อนการลงทุนจึงควรศึกษา หาโอกาสที่ตลาดมองไม่เห็น และทันกับความเปลี่ยนไปของโลก เช่น ธุรกิจที่เข้าสู่ตลาดด้วยบิสซิเนสโมเดลใหม่ๆ หรือเรื่องใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น คาร์บอนเครดิต เป็นต้น

 

หากเจาะลึกลงมาในรายบริษัทที่น่าลงทุน นักลงทุน VI จะเน้นหาข้อมูลอินไซด์เกี่ยวกับความสามารถทางการแข่งขันเพื่อเลือกลงทุนในบริษัทที่ใช่ เช่น เส้นสายทางธุรกิจหรือสัมปทานที่สร้างความได้เปรียบให้กับบริษัทนั้นๆ รวมทั้งชื่อเสียงของบริษัทหรือแบรนด์ ตลอดจนความใหญ่ของบริษัท เช่น โรงงานขนาดใหญ่ จำนวนสาขามาก ซึ่งเป็นแต้มต่อ ทำให้ควบคุมต้นทุน และสามารถแข่งขันทำกำไรได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ หากไม่มีเวลาหาอินไซด์เพื่อตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง แนะนำให้ลงทุนผ่านเครื่องมือการลงทุนต่างๆ เช่น ซื้อกองทุน Index หรือซื้อหุ้นกู้ พันธบัตร กองทุนรวม ทองคำ ฯลฯ โดยเลือกจังหวะในการเข้าซื้อที่ใช่ และเน้นกระจายความเสี่ยง

 

 

สำหรับภาพการลงทุนในระยะยาวของตลาดหุ้นจีนเปรียบเหมือนตลาดหุ้นอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น

  • จีนมี Billionaire เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 2 คน ถือว่าเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โลกวันนี้จำนวนอภิมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ในจีนมี 1,200 คน แซงอเมริกาที่มีประมาณ 700 คนไปเกือบเท่าตัว
  • จีนมีคนที่จบการศึกษาด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) สาขาละ 4.6 ล้านคน ต่อปี
  • มีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 คือ เริ่มงาน 9 โมงเช้า เลิกงาน 3 ทุ่ม ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน
  • จีนมีแผนเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางจาก 300-400 ล้านคน เป็น 700-800 ล้านคน
  • จีนมีการปรับหลักสูตรการเรียนใหม่แบบ 553 คือ ประถมศึกษา 5 ปี มัธยมศึกษา 5 ปี และอุดมศึกษา 3 ปี

 

 

องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ ล้วนหนุนส่งเศรษฐกิจจีนให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และคาดว่าจะไปอยู่ในจุดที่อเมริกายืนอยู่ในอีกสิบปีข้างหน้า แต่ในการเข้าลงทุนสำหรับตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ที่ดี เนื่องจากประเทศจีนเวลาขึ้นก็ขึ้นแรง เวลาลงก็ลึกกว่าที่คิด โดยไม่เกี่ยวข้องกับภาพรวมดัชนีใดๆ ทั้งสิ้น

จึงควรศึกษาเป้าหมายของผู้บริหาร ความสามารถทางการแข่งขัน กลยุทธ์ที่จะนำพาธุรกิจเติบโตในระยะยาว เช่น มีความเป็นแพลตฟอร์ม ปรับตัวสู่ดิจิทัลได้ง่าย ที่สำคัญธุรกิจดังกล่าวต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย่อมจะมีโอกาสชนะในการลงทุน

 

 

ขณะที่ตลาดหุ้นอเมริกา ดัชนีฟื้นตัวดีขึ้น จากการนำพาตลาดของ Big Tech อย่าง Meta, NVIDIA, Microsoft, Tesla, Google ที่ออกมาตรการรัดเข็มขัดปลดพนักงานทั่วโลก เพื่อลดต้นทุนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปีนี้คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย แต่คาดว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่สามารถควบคุมได้

นักลงทุนรายใหญ่ต่างมองข้ามช็อตไปยังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 แล้ว อเมริกาจึงนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ แต่ต้องตัดสินใจเข้าตลาดให้ถูกจังหวะและถูกกลุ่มอุตสาหกรรม

[อ่าน 7,666]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Lee ปลุกตำนานยีนส์ ดึง Zhang Linghe นั่ง Brand Ambassador APAC
มาสเตอร์การ์ด–Beam เปิดตัว “Beam Bolt” พลิกโฉม SME ไทยสู่ดิจิทัลเพย์เมนต์
MJets ผู้นำการบินส่วนบุคคลจากไทย ยกระดับสู่เวทีโลกด้วยบริการครบวงจร
ออร์บิกซ์เปิดตัวแคมเปญ “Power Up Your Life” ทุกการเทรดสะสม OBX Point แลกรับสูงสุด 100,000 คะแนน
AIS ยืนหยัดต้านคอร์รัปชัน ตอกย้ำองค์กรโปร่งใส เดินหน้ายกระดับมาตรฐานธุรกิจ
Primal เปิดตัวโซลูชัน SEO ยุคใหม่ “ElevateSEO” หนุนธุรกิจรับมือการเปลี่ยนแปลงจาก AI Search
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved