หลังจากบริษัทบุญรอดเทรดดิ้งฯ จับมือกับ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด โดยบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ จัดตั้งบริษัทร่วมทุน DRINK ENTERPRISE เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมดื่มร่วมกันตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
ภาพความเคลื่อนไหวล่าสุดที่อยู่ในกระแสความสนใจค่อนข้างมากก็คือ การเปิดตัวสินค้าพร้อมกันถึง 2 แบรนด์ ไล่ตั้งแต่ กาแฟพร้อมดื่มอเมซอนรูปแบบขวด PET ขนาด 200 มล.ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตจากกาแฟพรีเมียม และกระบวนการ Perfect Shot 27 วินาทีมี 3 รสชาติ
ส่วนสินค้าอีกตัวที่ส่งลงตลาดพร้อมกันก็คือ ชาพร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ ‘ฮารุ Cold Brew Green Tea’ เป็นชาเขียวเกรดพรีเมียม จากไร่ชา 1 ใน 3 แห่งของโลก ที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากประเทศญี่ปุ่น นำมาผลิตด้วยกระบวนการ Cold Brew ที่ใช้เวลานานกว่าวิธีปกติ 1 เท่าตัว
ทำให้ได้รสชาติที่นุ่มละมุนในสไตล์ Modern Japanese โดยจะมาในขวดขนาด 440 มล. มี 2 รสชาติ คือ
สินค้าทั้ง 2 ตัว สร้างความฮือฮาได้ค่อนข้างมาก โดยการเข้าตลาดชาพร้อมดื่มนั้น ถือเป็นการ Come Back อีกครั้งของค่ายบุญรอด ที่ครั้งนี้ มีพันธมิตรอย่างโออาร์ เข้ามาเป็นตัวช่วยเสริมพลังในการรุกตลาด
ขณะที่ตัวกาแฟพร้อมดื่มนั้น ถือเป็นการจับมือที่สะท้อนให้เห็นถึงการดึงเอาจุดแข็งของทั้ง 2 รายเข้ามาร่วมกันทำตลาด ไม่ว่าจะเป็น การมีฐานการผลิตของบุญรอด ตลอดจนการมีระบบการ กระจายสินค้าที่แข็งแกร่งเข้ามาเป็นตัวช่วยสนับสนุน
เมื่อรวมเข้ากับการที่มีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วอย่าง คาเฟ่ อเมซอน ก็น่าจะช่วยทำให้การเข้าตลาดทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับการสร้างการทดลองดื่มที่คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับรสชาติของกาแฟอเมซอนอยู่แล้ว
ภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า
"บุญรอดฯ มีประสบการณ์และความชำนาญในการทำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มยาวนานก้าวสู่ปีที่ 90 ไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบสนองผู้บริโภค
โดยบริษัทบุญรอดฯ มีแบรนด์สินค้าคุณภาพที่ครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มสิงห์, น้ำแร่เพอร์ร่า,โซดาสิงห์, สิงห์ เลมอน โซดา ฯลฯ และในปี 2565 ที่ผ่านมา เป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัทในการมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า ด้วยการร่วมมือ กับ ปตท.ค้าปลีกและน้ำมันหรือ OR นำความเชี่ยวชาญ จุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายสร้างการเติบโตไปด้วยกัน"
เช่นเดียวกับ ดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า
"การดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมบริโภค (RTD) ร่วมกับบุญรอดฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม (กลุ่ม Lifestyle) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ OR ในการสร้างพันธมิตรเพื่อหาโอกาสขยายธุรกิจ (Strategic Alliance) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเครื่องดื่มของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมยิ่งขึ้น (All Lifestyle)
อีกทั้งยังสอดคล้องกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่าน SDG ในแบบฉบับของ OR หรือ OR SDG ในด้านการสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตทุกรูปแบบ (D – DIVERSIFIED) ผ่านศักยภาพของ OR ที่จะเป็น Platform ในการกระจายโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและครอบคลุม พร้อมเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน"
ทำไม DRINK ENTERPRISE ถึงเลือกเปิดตัวสินค้า 2 แบรนด์นี้เข้าตลาด
คำตอบก็คือ ทั้ง 2 ตลาด ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะมีขนาดตลาดค่อนข้างใหญ่ โดยชาพร้อมดื่มในบ้านเรามีมูลค่าตลาดกว่า 13,000 ล้านบาท มีการเติบโตค่อนข้างดีมาตลอดในช่วงหลังมานี้ จากแรงส่งในเรื่องของการใส่ใจสุขภาพ
เมื่อมองมาที่ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม ก็เข้าข่ายเดียวกัน นั่นคือ เป็นตลาดที่มีขนาดของตลาดค่อยข้างใหญ่ ไล่เรียงจาก
ตลาดกาแฟสำเร็จรูป มีมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท พบว่า จะถูกแบ่งเป็น
กาแฟพร้อมดื่มจะเป็นตัวตอบโจทย์ในเรื่องของการช่วย เพิ่มความสะดวกสบายในการดื่ม แม้ตลาดนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นเบเนฟิตในเรื่องของการช่วยเพิ่มความสดชื่น หรือแก้ง่วง แต่เทรนด์กำลังยกระดับมาที่กาแฟพร้อมดื่ม ที่ทำมาจากกาแฟคั่วบดมากขึ้น ทำให้ตลาดกาแฟพรีเมียมที่แม้ตลาดยังไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ
ในอดีตที่ผ่านมา เบอร์ดี้ เป็นแบรนด์แรกๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดกาแฟกระป๋องพร้อมดื่ม โดยมองเห็นอินไซต์ของผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนขับรถที่มักจะซื้อกาแฟจากร้านกาแฟข้างทางมาดื่มเพื่อรีเฟรช หรือแก้ง่วง เวลาขับรถ จึงพัฒนากาแฟพร้อมดื่มในรูปแบบกระป๋องแบรนด์เบอร์ดี้ เข้ามาทำตลาด
การพัฒนารสชาติของกาแฟ ที่สามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายให้กับคนดื่ม รวมถึงการมีระบบจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งที่สามารถผลักดันสินค้าได้ครอบคลุมทุกช่องทางขาย ทำให้เบอร์ดี้ ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของตลาดกาแฟพร้อมดื่มได้อย่างเหนียวแน่น
โดยสินค้ากลุ่มหลักคือ เนสกาแฟ เอสเปรสโซ โรสต์, เนสกาแฟ แบล็ค ไอซ์, เนสกาแฟ ลาเต้ ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้แข่งโดยตรงกับเบอร์ดี้ และปัจจุบันยังเป็นสินค้าหลักของพอร์ตฯ เนสกาแฟพร้อมดื่มที่ล่าสุดมีการเติมการแฟคั่วบดเข้าไปเพื่อให้รสชาติออกมาดีขึ้น
ส่วนที่ผ่านมา เนสกาแฟ พยายามที่จะหันไปสร้างตลาดใหม่ คือกาแฟพร้อมดื่มพรีเมียม ด้วยการเปิดตัว ‘เนสกาแฟ โคลด์บริว’ (Nescafé Cold Brew) ในรูปแบบขวด PET ตอบรับเทรนด์กาแฟสกัดเย็น และขยายฐานไปยังผู้บริโภคกลุ่มใหม่
รวมถึงการเปิดตัว ‘เนสกาแฟ บาริสต้าสไตล์’ กาแฟขวดพร้อมดื่มระดับพรีเมียม มอบประสบการณ์กาแฟสไตล์คาเฟ่ชั้นเลิศ ที่ไหนเวลาใดก็ได้ตามต้องการ ใน 2 รสชาติ คาราเมล เอสเปรสโซ และ อเมริกาโน ซึ่งเป็นการเล่นกับเมนูของกาแฟสดที่ขายในร้านกาแฟชั้นนำ โดยวางราคาที่หาซื้อได้ง่ายเพียง 29 บาท
กาแฟในกลุ่มนี้ เคยวางในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แต่ปัจจุบันถูกถอนออกไปแล้ว ทำให้กาแฟพรีเมียมที่เหลืออยู่ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในปัจจุบันมีเพียง Boss Coffee ของค่าย ซันโทรี เป๊ปซี่ โค เบฟเวอเรจ ที่วางขายในราคา 35 บาท และอีกตัวคือ กาแฟถ้วยอาราบัส ที่วางขายในราคา 35 บาท เช่นเดียวกัน
กาแฟพร้อมดื่มอเมซอน จะเริ่มวางขายจากร้านเซเว่น อีเลฟเว่นก่อน ซึ่งในช่วงของการเปิดตัวนั้น มีการสร้างการสร้างกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดียได้ค่อนข้างดี ทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงในวงกว้าง ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมส่งผลต่อการสร้างการทดลองดื่มสินค้าตัวนี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคใหญ่ในการทำตลาดกาแฟพร้อมดื่มพรีเมียมที่มีราคาขายตั้งแต่ 29 – 35 บาท น่าจะอยู่ที่ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นนั้น การเข้าถึงกาแฟสดทำได้ค่อนข้างง่าย เพราะมีร้าน ออล คาเฟ่ เข้าไปเปิดแทบทุกสาขา
ขณะที่ราคาขายกาแฟต่อแก้วก็ไม่สูงนักเฉลี่ย 30 – 45 บาท ทำให้ลูกค้าอาจจะเลือกซื้อกาแฟสดมากกว่ากาแฟพร้อมดื่มพรีเมียมที่มีราคาใกล้เคียงกัน
แต่เชื่อว่า หากมีการขยายการวางสินค้าให้ครอบคลุม โดยในไตรมาส 3 จะขยายเข้าสู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรด และช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ ทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นการรวมพลังเอาจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่มาดำเนินธุรกิจร่วมกัน
ทำให้เป้าหมายยอดขายกาแฟพร้อมดื่ม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 1,000 ล้านบาท น่าจะบรรลุได้ตามที่ตั้งไว้
และจะเป็นอีกสีสันที่ถูกระบายเข้าไปในตลาดกาแฟพร้อมดื่มของบ้านเรา....