สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกไตรมาส 3 ไม่กระเตื้อง หวัง Q4 ฟื้น
09 Oct 2023

 

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาสสาม ปี 2566 พบว่า ลดลงมาที่ 46.4 จุด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ในรอบปี 2566

ปัจจัยฉุดยังคงเป็นปัจจัยเดิมที่รอการเยียวยา ประกอบด้วย กำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ, หนี้ครัวเรือนสูง, ราคาพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงการท่องเที่ยวที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก ระยะ 3 เดือนจากนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 12.0 จุด เนื่องจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล มาตรการลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำมัน นโยบายวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน รวมถึงการโหมโปรโมชั่นของร้านค้าในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงเทศกาลปลายปีได้ดีขึ้น

 

ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า

“ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาสสาม 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสสอง 2566 “ซบเซา 3 เดือนต่อเนื่อง” โดยลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน

ทั้งดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ , ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) สะท้อนถึงผู้บริโภคฐานราก กำลังซื้อยังอ่อนแอ โดยลังเลที่จะจับจ่ายและมุ่งเน้นสินค้าที่จำเป็น

 

โดยเมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีกพบว่า ธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพ-ความงาม, ร้านวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, ร้านไอที เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ

ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต มีการชะลอตัวลง และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ต ภัตตาคาร ร้านอาหาร ยังซบเซา นอกจากนี้เมื่อจำแนกตามภูมิภาคพบว่า กรุงเทพ ปริมณฑล เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึมลึก ส่วนภูมิภาคอื่นๆชะลอตัว

 

ทางสมาคมฯ จึงเห็นด้วยกับภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งมาตรการลดค่าไฟและน้ำมัน มาตรการฟรีวีซ่าจีน และการเพิ่มเที่ยวบินถือว่าเป็นมาตรการที่มาถูกที่ถูกเวลา

อย่างไรก็ตามสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมี ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่จะช่วยขับเคลื่อนภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศซึ่งเชื่อมโยงกับภาคค้าปลีกและบริการ ดังนี้

1. มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายเพื่อจูงใจกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อ โดยการลดหย่อนภาษีประจำปีระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม เพื่อไม่ให้เกิดการชะลอการจับจ่าย ในส่วนของนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขอเสนอให้เพิ่มการหารือร่วมกับภาคเอกชนและสมาคมต่างๆ เพื่อให้การดำเนินนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

2. เปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพ ด้วยการเร่งเจรจา FTA Thai-EU ให้เร็วที่สุด และสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกเขตเสรีการค้าอื่นเพิ่มเติม เช่น BRICS เป็นต้น เพื่อให้เกิดการลงทุนและเกิดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง

3. แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคค้าปลีก-บริการ ด้วยการเพิ่มการจ้างงานให้หลากรูปแบบและพัฒนาทักษะแรงงาน เช่น การจ้างงานอิสระ การจ้างงานประจำรายชั่วโมง โดยคำนึงถึงอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงานเป็นหลักและไม่จำกัดสิทธิเฉพาะสัญชาติ รวมถึงการกำหนดค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพที่สอดคล้องกับระดับสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เพื่อเพิ่มผลิตผลต่อแรงงานแทนการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ

4. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ มากกว่าการพักชำระหนี้เพียงอย่างเดียว

5. สร้างความแข็งแกร่งให้กับซอฟต์เพาเวอร์ไทยด้วยการสนับสนุนสินค้าไทยผ่านการจัดตั้งโครงการ Thailand Brand เพื่อเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าของ SME ไทย ปีละ 2 ครั้ง ในทุกช่องทางของร้านค้าทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเพื่อเพิ่มการจับจ่ายโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเริ่มต้นเร่งด่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

6. สนับสนุนให้จังหวัดภูเก็ตเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการค้าเต็มรูปแบบ ทั้งด้านไลฟ์สไตล์, กีฬา, เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และช้อปปิ้ง

 

 

ทั้งนี้ทางสมาคมฯ ยังได้เผยผลสำรวจ “ประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก” ของผู้ประกอบการ ระหว่างเดือนกรกฎาคม - เดือนกันยายน 2566 อาทิ

1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการ

  • ร้อยละ 80  ต้นทุนสูงขึ้น
  • ร้อยละ 37  ราคาสินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น
  • ร้อยละ 23  รักษากำไร
  • ร้อยละ 20  คู่แข่งปรับขึ้นราคา และ การส่งผ่านต้นทุนได้ไม่ทั้งหมด

2. สถานะสภาพคล่องธุรกิจ

  • ร้อยละ 24  มีสภาพคล่องอยู่ได้ 3-6 เดือน
  • ร้อยละ 26  มีสภาพคล่องอยู่ได้ 6-12 เดือน
  • ร้อยละ 50  มีสภาพคล่องอยู่ได้ มากกว่า 12 เดือน

3. ปัจจัยสนับสนุนและความเสี่ยงต่อธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้า

  • ปัจจัยสนับสนุน
    • การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย
    • มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ
  • ปัจจัยเสี่ยง
    • กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
    • ต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น
    • การแข่งขันที่สูงขึ้น

 

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เชื่อว่าแม้ภาพรวมค้าปลีกและบริการในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเปราะบาง แต่หากรัฐบาลเร่งเครื่องฟื้นฟูสุขภาพเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องและตรงจุด ประกอบกับทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน จะสามารถนำพาให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีเสถียรภาพที่มั่นคงและเดินหน้าอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย

[อ่าน 489]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เผยลักษณะสำคัญของ Savvy Explorers ในเอเชียแปซิฟิก
อโกด้าเผยไทยติดอันดับ 2 จุดหมายยอดฮิตของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นช่วงโกลเดนวีค
เปิดโพล!! คนไทยคิดอย่างไรกับสงกรานต์ 21 วัน
หลุยส์คาเฟ่ ปลุกกระแสแบรนด์เนมตื่น เอนเกจพุ่ง 950 % หลังเปิดตัวเพียงครึ่งเดือน
สัญญาณดีๆ ของปี 2023 มีส่งต่อปี 2024 ไหม
TikTok ร่วมพัฒนาอนาคตแห่งความบันเทิงและการค้าในปี 2567
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved