บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย จัดการทดสอบล้ำหน้าไปอีกระดับกับ "LIVE - Cell Broadcast Service" ผ่านเสาสัญญาณจริง ให้ผู้ใช้งานมือถือทั้งทรู และดีแทคในพื้นที่ได้รับประสบการณ์แจ้งเตือนภัยจริงครั้งแรกในประเทศไทย
พร้อมเยี่ยมชมและให้เกียรติในการร่วมทดสอบโดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ที่อาคารทรู ทาวเวอร์ รัชดาภิเษก เพื่อแสดงศักยภาพความพร้อมของระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน นำโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการเตือนภัยสำหรับประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ พร้อมชูหมัดเด็ดศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC พร้อมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทรู คอร์ปอเรชั่นใช้เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการกรณีเกิดภัยพิบัติ 24 ชั่วโมง
มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
"เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้พัฒนาระบบ Cell Broadcast Service หรือ CBS ไปอีกขั้นด้วยการนำมาทดสอบการใช้จริง ซึ่งเป็นระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินที่ทั่วโลกใช้งานที่สามารถส่งข้อความเตือนภัยไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้บริการทุกเครื่อง ทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพร้อมกันทันที และแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินต่างๆ อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ระบบ CBS จะมีทั้งสัญญาณเสียง และข้อความที่แสดง (Pop up) บนหน้าจอ และรองรับ Text to Speech เทคโนโลยีช่วยเหลือที่อ่านออกเสียงข้อความทำให้มีประโยชน์ต่อการแจ้งเตือนแก่ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็นอีกด้วย”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยเคยประสบภัยพิบัติทั้งจากภัยธรรมชาติ อุบัติภัย และภัยจากคนร้าย ส่งผลให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก อีกทั้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ยิ่งทำให้ภัยธรรมชาติรุนแรงและถี่ขึ้น โดยปัจจุบันเราเข้าสู่ยุค “โลกเดือด” หรือ “Global Boiling” ซึ่งอาจนำมาสู่ภัยคุกคามและผลกระทบที่คาดไม่ถึง
ด้วยความตระหนักถึงภัยคุกคามเหล่านี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำของประเทศที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 50 ล้านเลขหมาย จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน กสทช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา ในการพัฒนาระบบ Cell Broadcast Service หรือ CBS ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน โดยทรู คอร์ปอเรชั่นทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast ในห้องทดสอบปฏิบัติการ (Lab test) เป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 โดยมีจุดเด่นสำคัญหลายประการ ได้แก่
มนัสส์ กล่าวต่อไปว่า "การพัฒนาระบบ Cell Broadcast Service นี้ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และยุทธศาสตร์การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่ 11 ว่าด้วยการทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความครอบคลุม ปลอดภัย มีภูมิต้านทาน และยั่งยืน"
ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน หรือ Cell Broadcast ของทรู คอร์ปอเรชั่นสามารถตั้งระดับการเตือน 5 ระดับตามฟังก์ชั่นการใช้งานและร่วมมือกับภาครัฐ ประกอบด้วย:
นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นยังได้พัฒนาศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ Business and Network Intelligence Center (BNIC) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการเมื่อเกิดภัยพิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากกว่า 50 ล้านเลขหมาย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบ CBS ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
"ทรู คอร์ปอเรชั่นมีความเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เราจะสามารถสร้างสังคมที่ปลอดภัยและพร้อมรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาระบบ Cell Broadcast Service นี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการเตือนภัยของประเทศไทย เราหวังว่าระบบนี้จะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต" มนัสส์ กล่าวในที่สุด
การทดสอบอีกระดับของ "LIVE - Cell Broadcast Service" ที่แจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านมือถือกับผู้ใช้งานจริงครั้งแรกในไทยโดยทรู คอร์ปอเรชั่น นับเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยและการเตือนภัยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ และเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อประเทศไทยในระยะยาว