เอสซีจี เดินหน้าจับมือชุมชนและเครือข่าย ต่อยอดโครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที”
17 Dec 2018

เอสซีจี ร่วมกับชุมชนบ้านมดตะนอย ชุมชนเกาะลิบง หน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่าย ขยายโครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” ในพื้นที่ปลายน้ำ จังหวัดตรัง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ควบคู่การพัฒนาองค์ความรู้ท้องถิ่นให้เป็นชุมชนต้นแบบ ก่อนขยายผลความสำเร็จสู่ชุมชนอื่น ๆ ต่อไป

ศาณิต เกษสุวรรณ Business Stakeholder Engagement Director - Cement and Construction Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด หนึ่งในภารกิจสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่เอสซีจีผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง คือการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ตลอดจนพื้นที่ปลายน้ำ ตามแนวพระราชดำริฯ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ภายใต้โครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลให้ธรรมชาติ และช่วยให้ชุมชนดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข

โดยชุมชนบ้านมดตะนอย ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นอีกหนึ่งชุมชนชาวประมงในพื้นที่ปลายน้ำ ซึ่งประสบปัญหาไม่สามารถนำเรือออกไปทำการประมงได้ในฤดูมรสุมระหว่างเดือนมิถุนายน – กันยายน ของทุกปี ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ เอสซีจีจึงได้ร่วมมือกับชุมชนวางบ้านปลาบริเวณคลองลัดเจ้าไหมไปแล้วจำนวน 200 หลัง และจะดำเนินการให้ครบตามเป้าหมาย 300 หลังภายในปี 2561 นี้

และจากการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพบริเวณบ้านปลา โดยสถานวิจัยความเป็นเลิศความหลากหลายทางชีวภาพแห่งคาบสมุทรไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายหลังจากการวางบ้านปลาประมาณ 3 เดือน พบว่ามีสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และปลาเศรษฐกิจ 8 ชนิด มาอาศัยอยู่บริเวณบ้านปลา เกิดการขยายพันธุ์ และทำให้ชุมชนมดตะนอยสามารถหาปลาในหน้ามรสุมได้อีกด้วย

“สำหรับครั้งนี้ เอสซีจีได้ขยายการดำเนินโครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผาสู่มหานที” ไปยังเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของพะยูน สัตว์ป่าสงวนตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และมีหญ้าทะเลเป็นแหล่งอาหารสำคัญ แต่เนื่องจากมีการรุกรานที่อยู่อาศัย ทำให้พะยูนและหญ้าทะเลมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

เอสซีจีจึงได้ร่วมกับชุมชนเกาะลิบง หน่วยงานจากภาครัฐ เช่น หน่วยเขตห้ามล่าสัตว์ลิบง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดูแลระบบนิเวศด้วยการวางบ้านปลาที่หล่อขึ้นจาก "ปูนงานโครงสร้างทนทานพิเศษ เอสซีจี" ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแรง และทนต่อซัลเฟตและคลอไรด์จากน้ำทะเลอีก 100 หลัง รวมถึงการปลูกป่าโกงกาง 400 ต้น หญ้าทะเล 4,000 ต้น และยังร่วมกับกลุ่มพิทักษ์ดุหยงจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือพะยูนและสัตว์ทะเลใกล้สูญพันธุ์ ตลอดจนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตชาวประมงของชุมชนเกาะลิบง โดยมีภาคการศึกษาเป็นเครือข่ายที่จะช่วยวัดผลสำเร็จของโครงการอนุรักษ์ชายฝั่งอย่างยั่งยืน”

ด้าน เมธี มีชัย ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช กล่าวว่า การวางบ้านปลาหรือปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรทางทะเล รวมถึงการปลูกป่าชายเลน ปลูกหญ้าทะเล ภายใต้โครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผาสู่มหานที...สร้างบ้านให้ปลา ปลูกหญ้าให้พะยูน” ช่วยคืนความหลากหลายทางชีวภาพ และฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรชายฝั่งที่เสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ จึงสอดคล้องกับภารกิจของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5

“กิจกรรมครั้งนี้เป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วนมาช่วยกันดูแลรักษา และฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรต่าง ๆ โดยทีมของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงก็ได้มาช่วยสำรวจพื้นที่พร้อมระบุพิกัดที่จะจัดวางบ้านปลา รวมทั้งกำหนดกติการ่วมกับชุมชนในการดูแล และบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำรงวิถีชีวิตของชุมชนชาวประมง ถือเป็นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน เป็นความร่วมมือที่น่าภาคภูมิใจที่คนในพื้นที่มาร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อความอุดมสมบูรณ์และสมดุลของธรรมชาติอย่างยั่งยืน และหวังว่าความร่วมมืออย่างดียิ่งเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับทุกโครงการที่จะจัดทำร่วมกันต่อไปในอนาคต”

ลือชัย เจริญทรัพย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า “จังหวัดตรังมีการวางแผนนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ ผ่านการสนับสนุนให้ชุมชนชายฝั่งมีความเข้มแข็งในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยการส่งเสริม กระตุ้น และปลุกจิตสำนึกให้คนในชุมชนมีความรู้สึกหวงแหน เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน 

อย่างไรก็ตาม ความร่วมแรงร่วมใจจากทุกภาคส่วน ทั้งเครือข่ายนักวิชาการที่จะนำองค์ความรู้มาช่วยให้เกิดการดำเนินงานตามหลักวิชาการ มีการวัดผลสำเร็จของโครงการอย่างเป็นรูปธรรม ภาคเอกชนที่มาช่วยสนับสนุนทั้งวัตถุดิบและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่แก้ไขปัญหาเดิม ๆ ให้หมดไป ภาคประชาสังคมและเครือข่ายจิตอาสาที่มาร่วมแรง ลงมือช่วยกันทำจนโครงการเสร็จสิ้นจะช่วยผลักดัน และสนับสนุนให้การดำเนินงานของหน่วยงานราชการกับชุมชนในพื้นที่ประสบความสำเร็จและเห็นผลเชิงประจักษ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

เอสซีจี จะยังคงเดินหน้าสานต่อโครงการ “รักษ์น้ำ จากภูผา สู่มหานที” ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ พร้อมผสานแนวคิด "เศรษฐกิจหมุนเวียน" (Circular Economy) เพื่อยกระดับกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าให้มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นหัวใจสำคัญ รวมถึงการสร้างเครือข่ายให้เกิดพลังที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันสร้างต้นน้ำที่ดี สู่ปลายน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ก่อเกิดเป็นความสมดุลที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในทุกพื้นที่ พร้อมถ่ายทอดและต่อยอดแนวความคิดในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นต้นทุนสำคัญของทุกชีวิตนี้ให้คงอยู่ต่อไป

[อ่าน 1,825]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กิฟฟารีนเขย่าวงการขายตรง เปิดตัว “AI Coach” พลิกเกมธุรกิจ MLM ไทย
Beyoncé และ Levi’s® เปิดตัว The Denim Cowboy
เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ผนึก TOA สร้างบ้านยุคใหม่สู่ Green Living เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero
Whoscall ผนึกกำลัง “หนุ่ม กรรชัย” ลุยบิลบอร์ดทั่วไทย ขยายยุทธศาสตร์ TrustTech สกัดมิจฉาชีพ
AWC ผนึก A49 สร้างแลนด์มาร์กท่องเที่ยวยั่งยืน ต่อยอดสู่ “Lifestyle Destination”
BAM พลิกเกมธุรกิจครึ่งหลังปี 2568 จาก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” สู่ “Opportunities for All” ครึ่งปีแรกโชว์ผลงานแรง กำไรโต 72%
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved