บลจ.กสิกรไทยชี้ “ตราสารหนี้ไทย” ยังน่าสนใจ พร้อมแนะ K-ESGSI-ThaiESG เน้นพันธบัตรรัฐเพื่อความยั่งยืน
30 Dec 2024

 

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต, CFA รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน และประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (Chief Investment Officer) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงสิ้นปี 2567 ว่า

แม้การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (FOMC) ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ตามคาดการณ์ของตลาด แต่ Dot Plot กลับส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 2 ครั้งในปีหน้า (รวม 0.50%) ลดลงจากเดิมที่เคยส่งสัญญาณไว้ว่าจะลดถึง 4 ครั้ง (รวม 1.00%) ในขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ต่อปี หลังปรับลดไปครั้งล่าสุดในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่สอดคล้องกับมุมมองตลาด กลับมาพร้อมกับการปรับประมาณการเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้สูงขึ้น จึงทำให้ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดทุนเกิดความกังวล อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทยมองว่า ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ถูกปรับลงและตัวเลข GDP ที่ถูกปรับขึ้น สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดแรงงานยังไม่อยู่ในภาวะน่ากังวล จึงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะให้ความสำคัญกับการควบคุมเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะ “Soft Landing” ทำให้ผลกระทบต่อการลงทุนตราสารหนี้ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่าหวั่นวิตก

 

สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของไทย บลจ.กสิกรไทยคาดว่า ธปท. อาจปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 1-2 ครั้งในปี 2568 ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ตลาดคาดการณ์ ทว่าจังหวะเวลายังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อ โดยมีโอกาสเกิดขึ้นช่วงครึ่งปีหลังมากกว่า ด้านนโยบายของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่อาจเน้นการลดภาษีรายได้และการขึ้นภาษีนำเข้า แม้อาจทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวช้าลง แต่ผลกระทบด้านเงินเฟ้อในไทยยังอยู่ในระดับจำกัด ส่วนหนึ่งมาจากภาวะอุปทานส่วนเกินของจีนที่ยังคงมีอยู่ ตลอดจนราคาน้ำมันโลกที่คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ

 

นอกจากนี้ ปัจจัยภายในประเทศยังเป็นบวกต่อตลาดตราสารหนี้ไทย เนื่องจากนโยบายการเงินไทยยังมีทิศทางผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบกับปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด จึงเอื้อให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยมีแนวโน้มปรับลดลงได้อีกจากระดับปัจจุบัน แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลาง-ยาวจะเริ่มปรับตัวลดลงบ้างแล้ว แต่ระดับอัตราผลตอบแทนในช่วง 10-15 ปี ที่ราว 2.25-2.50% ยังคงน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากปัจจัยความเสี่ยงและศักยภาพในการถือครองระยะยาว

 

สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนและมีความผันผวนต่ำ กองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG) ซึ่งบริหารโดย บลจ.กสิกรไทย ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันมีขนาดกองทุนที่ 3,061.59 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2567) เน้นลงทุนอย่างน้อย 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนของภาครัฐไทย ได้แก่ พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) และพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability – Linked Bond) รวมถึงพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย รวมถึงการลงทุนบางส่วนในตราสารหนี้ เงินฝาก และตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างสมดุลด้านสภาพคล่องและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ

 

จุดเด่นของกองทุน K-ESGSI-ThaiESG คือพอร์ตมี Duration ค่อนข้างยาว (ระยะเวลาถัวเฉลี่ย 10 ปี 3 เดือน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567) ซึ่งน่าจะได้รับประโยชน์หากอัตราดอกเบี้ยไทยปรับลดลงอีก นอกจากนี้ กองทุนยังมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในสินทรัพย์อื่นได้สูงสุดไม่เกิน 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ต และมีผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ตรงในการบริหารกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวแบบ Active จึงสามารถปรับตัวตามภาวะตลาดได้ดี อีกทั้งกองทุนยังมีอัตราค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำเพียง 0.2140% ต่อปี ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดของกองทุนอยู่ที่ 0.2729%

 

“โดยสรุป ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงน่าสนใจ แม้อาจมีความกังวลจากทิศทางดอกเบี้ยโลกและนโยบายของสหรัฐฯ แต่ด้วยฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังเดินหน้าต่อเนื่อง และนโยบายการเงินที่อยู่ในระดับผ่อนคลาย ยังคงเอื้อให้ผลตอบแทนพันธบัตรไทยทรงตัวในระดับที่ดี ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและสนใจการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ กองทุนเปิดเค ตราสารภาครัฐ ESG ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (K-ESGSI-ThaiESG) จึงเป็นอีกทางเลือกที่ตอบโจทย์ ทั้งในมิติด้านผลตอบแทนและการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ควบคู่กัน” นางสาวธิดาศิริ กล่าวทิ้งท้าย.

[อ่าน 3,071]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Dr. Kaimook Clinic ชี้เทรนด์ศัลยกรรมมาแรง! “สมดุล ละมุนตา” เน้นความแลดูเป็นธรรมชาติ น้อยแต่มาก
เหตุผลที่ทำให้ HONOR Magic V5 เป็นมือถือจอพับที่บาง แข็งแรง และดีที่สุดในตลาด
จากบ้านสู่โลก: KTC FIT Talk 19 ผนึกพลังพันธมิตร ดันโซลูชันพลังงานสะอาด ลดคาร์บอน สู่เป้าหมาย Net Zero
LINE MAN Wongnai เข้าซื้อกิจการ JERA Cloud
 ขยายพรมแดนธุรกิจ สู่ธุรกิจความงามและสุขภาพ
KFC ประเทศไทย ฉลองเดือนเกิดผู้พัน เปิดตัวกล่องสุ่มลิมิเต็ด “เบบี้ แซนเดอร์ส คอลเลกชัน”

เซ็นทรัลพัฒนา คว้ารางวัลใหญ่ ASEAN Corporate Governance Scorecard ตอกย้ำองค์กรธรรมาภิบาลดีเด่น นักลงทุนเชื่อมั่น
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved