ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไทยยูเนี่ยน กล่าวว่าบริษัทมีกำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทรานฟอร์เมชั่นตามกลยุทธ์ Strategy 2030 ที่มีกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,019 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.0 เท่า ทำให้บริษัทมีความคล่องตัวในการลงทุนในอนาคต
การเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจมีความแตกต่างกัน โดยกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดขาย 4,174 ล้านบาท ขยายตัว 5.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารทะเลแช่แข็งมีการชะลอตัวของยอดขายในบางภูมิภาค โดยยอดขายในกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปลดลง 14.0 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน และอาหารทะเลแช่แข็งลดลง 12.2 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่นๆ มียอดขายลดลง 3.1 เปอร์เซ็นต์
แม้จะเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แต่ไทยยูเนี่ยนยังคงพร้อมรับมือโดยการสำรองสินค้าทุกประเภทในสหรัฐอเมริกา เพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับอัตราภาษี และยังคงใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตและแหล่งวัตถุดิบทั่วโลกเพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากสถานการณ์ทางภาษี
ในด้านความยั่งยืน ไทยยูเนี่ยนได้รับการสนับสนุนเงินกู้ Blue Loan วงเงิน 150 ล้านเหรียญสหรัฐจากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อยกระดับการจัดซื้อวัตถุดิบกุ้งที่เพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจอาหารทะเลที่ยั่งยืนและรักษาท้องทะเลให้มีสุขภาพดี
ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ผ่านการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว และการดำเนินกลยุทธ์ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้มีความคล่องตัว โดยพร้อมรับมือกับความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางภาษีในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์ความยั่งยืนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
#ไทยยูเนี่ยน #ผลประกอบการ #Strategy2030
#อาหารทะเล #ธุรกิจยั่งยืน #SeaChange2030 #การเติบโต