AIS ร่วมภาครัฐ-เอกชน ขับเคลื่อน "ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์" ตัดวงจรมิจฉาชีพ ตั้งแต่ต้นทาง
12 May 2025

 

สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือภัยไซเบอร์จากกลุ่มมิจฉาชีพ ที่มาในหลากหลายรูปแบบ และทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ นำมาซึ่งความสูญเสียทั้งด้านข้อมูลส่วนบุคคล ทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล รวมไปถึงผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้เสียหายอันอาจนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

 

จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า สถิติการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 - 30 เมษายน 2568 มียอดคดีออนไลน์ทั้งสิ้น 887,315 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยความเสียหาย 77 ล้านบาทต่อวัน แม้ว่าที่ผ่านมาหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามติดตามป้องกันปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิด รวมทั้งสร้างเครื่องมือมาป้องกันประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่มิจฉาชีพก็ยังพัฒนาวิธีการใหม่ๆ มาหลอกลวง สร้างความเสียหายอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

 

 

นั่นทำให้ AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานสู่โลกออนไลน์ ซึ่งได้ใช้ศักยภาพทางธุรกิจมาสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัย และสามารถใช้ดิจิทัลได้อย่างมีประโยชน์มาโดยตลอด ตัดสินใจเพิ่มระดับความเข้มข้นในการสร้างสังคมดิจิทัลปลอดภัยไปอีกขั้น

ด้วยการผนึกกำลังพันธมิตร ทั้ง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. ร่วมกันขับเคลื่อนความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม พร้อมปักหมุดประเทศไทย สู่ "ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” 

อีกทั้งยังเชิญชวนหน่วยงานทุกภาคส่วนรวมกว่า 100 องค์กร ผสานพลังตัดวงจรมิจฉาชีพตั้งแต่ต้นทาง ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อปกป้องประชาชนจากภัยทางเทคโนโลยี ยกระดับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ และตอกย้ำการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและปลอดภัยในการใช้งานดิจิทัลทุกมิติ 


 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้แทนจากภาครัฐ กล่าวว่า “รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการรับมือภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเสียหายต่อประชาชน ที่ผ่านมาสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินหน้าทำงานเชิงรุกผ่าน 3 แกนหลัก ทั้งการกำหนดและพัฒนากฎหมาย สร้างความร่วมมือและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ

โดยมีเป้าหมายเพื่อเร่งปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผ่านการดำเนินการทั้งในเชิงนโยบาย เชิงปฏิบัติ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ภายใต้ปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” ตลอดจนมาตรการซีลชายแดน ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์, การแก้ไขกฎหมายควบคุมบัญชีม้า-ซิมม้า รวมถึงบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐอย่าง กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง. และกระทรวงดิจิทัลฯ รวมถึงภาคเอกชน ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัล”

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุกอย่างจริงจังในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นภัยใกล้ตัวที่สร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง พร้อมยกระดับ “ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ให้เป็นหนึ่งใน "นโยบายระดับชาติ" เพื่อช่วยปกป้องประชาชนจากภัยคุกคามต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้แทนจากภาครัฐ

 

โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการทั้งในเชิงนโยบาย เชิงปฏิบัติ และความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น

  • การตั้งศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และปฏิบัติการเชิงรุก

  • แก้ไขกฎหมายสำคัญเพื่อปิดช่องโหว่ เช่น กฎหมายควบคุมบัญชีม้าและซิมม้า พร้อมผลักดันให้แพลตฟอร์มออนไลน์และธนาคารช่วยยับยั้งธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์

  • ดำเนินปฏิบัติการ "ทลายเครือข่าย" ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่แถบชายแดนภาคตะวันออกและภาคเหนือ รวมถึง ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน เพื่อตัดวงจรสนันสนุนการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามแดนในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้มีการจับกุมผู้กระทำผิดและโครงข่ายผู้ร่วมขบวนการได้เป็นจำนวนมาก

  • บูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ อย่าง กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงภาคเอกชน ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มดิจิทัล พร้อมทั้งมีการหารือกับรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในเชิงนโยบาย

 


“ภารกิจนี้ไม่ได้เป็นเพียงของหน่วยงานด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในมิติเชิงนโยบายที่ต้องมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุก การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การบูรณาการความร่วมมือทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การเสริมสร้างองค์กรและหน่วยงานภาครัฐ ให้มีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง” ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าว


 

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี


 

ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญ กล่าวว่า “วันนี้เราอยู่ในยุคที่ ‘ภัยไซเบอร์’ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโลกออนไลน์อีกต่อไป แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตคนไทยทุกกลุ่ม ทุกวัย ทุกพื้นที่ จากสถิติในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีประชาชนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์วันละหลายพันราย ยอดความเสียหายสะสมกว่า 7 หมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันปลอม ถูกดูดเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่ถูกล้วงข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ภัยที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่คือ ‘ภัยความมั่นคง’ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน”

ในฐานะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้วางแนวทางการทำงานในเชิงรุก โดยเน้นทั้งการป้องกัน ปราบปราม และพัฒนาโครงสร้างการทำงานให้สอดรับกับพฤติกรรมอาชญากรรมยุคใหม่ โดยได้จัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) เพื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ และเปิดปฏิบัติการเชิงรุก พร้อมใช้เทคโนโลยี AI และระบบวิเคราะห์ธุรกรรม เพื่อติดตามเส้นทางการเงินของขบวนการอาชญากรเหล่านี้ อีกทั้งยังได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่าย รวมถึงผู้ให้บริการเครือข่ายอย่าง AIS เพื่อเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันและขยายผลสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง

 


“สำหรับความร่วมมือกับ AIS ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญ เพราะผู้ให้บริการโครงข่ายจะมีข้อมูลเชิงลึกที่สามารถช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนพฤติกรรมต้องสงสัยได้แบบเรียลไทม์ และสามารถสนับสนุนเทคโนโลยีในการคัดกรองภัยก่อนที่จะถึงมือประชาชน นี่คือ “การผสานพลัง” ที่ทรงพลังที่สุดระหว่าง ตำรวจ รัฐบาล และ เอกชน เพื่อปกป้องประชาชน”


 

 

Kick Off “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” สู้เป้าหมายใหญ่ Zero Scam Thailand

สำหรับ AIS เอง ได้เริ่มแคมเปญในการรณรงค์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งตอนนั้นภัยจากไซเบอร์ยังไม่ได้รุนแรงอย่างในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของไซเบอร์บูลลี่ และการสแปม โดยยุทธศาสตร์ของ AIS คือ การเน้นไปที่ “การป้องกัน” ให้มากกว่าการเกิดเหตุแล้วแก้ไข โดยอยู่ในรูปของการให้ความรู้เพื่อป้องกันเป็นหลัก

แต่เมื่อภัยไซเบอร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น AIS เองก็ต้องยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ขึ้นด้วยเช่นกัน ด้วยการผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ เพื่อปักหมุดประเทศไทยให้เป็น “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” ขับเคลื่อนสังคมดิจิทัลปลอดภัยอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายใหญ่สู่การเป็น “Zero Scam Thailand” หรือการทำให้สังคมไทยปลอดจากภัยไซเบอร์ในที่สุด

 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “อาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้กลายเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ ที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัลของประเทศ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีรูปแบบการหลอกลวงซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การป้องกันและปราบปรามต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” พร้อมเสริมว่า



นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส

 

ที่ผ่านมา AIS มุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัย พร้อมส่งเสริมคุณภาพชีวิตดิจิทัลของคนไทย ภายใต้ภารกิจ "Cyber Wellness for THAIs" ไม่ว่าจะเป็น การปฏิบัติตามมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ อย่างการควบคุมระดับเสาสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันการใช้งานผิดกฎหมายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามแดน ปฏิบัติการปราบปรามมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการสนับสนุนด้านข้อมูลและระบบเครือข่ายจากทีมวิศวกรของ AIS ทั่วประเทศ พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น

บริการสายด่วน 1185 AIS Spam Report Center และ บริการ *1185 #แจ้งอุ่นใจ ตัดสายโจร เสริมเกราะภูมิคุ้มกันดิจิทัลอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยให้ความรู้ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา เพื่อยกระดับทักษะด้านดิจิทัลให้แก่ประชาชนผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ และการสร้างตัวชี้วัดสุขภาวะด้านดิจิทัล

 

 

สำหรับภารกิจ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” AIS ได้วางกลยุทธ์เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมปลอดภัยไซเบอร์ ผ่านกลยุทธ์ 3 ประสาน ได้แก่

1. เรียนรู้ (Educate) – สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ในทุกระดับเพื่อยับยั้งปัญหาจากต้นทาง ผ่านการจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่ออกแบบมาให้เข้าใจง่ายและสามารถใช้งานได้จริง เช่น หลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” โดยมีการสร้างหลักสูตรเพื่อให้ความรู้กับนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.4 ขึ้นไป รวมถึงชุมชน และองค์กรต่างๆ ปัจจุบัน AIS เดินหน้ามอบความรู้ไปแล้วกว่า 500,000 คน พร้อมตั้งเป้าให้ถึง 3,000,000 ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการวัดดัชนี Thailand Cyber Wellness Index ตัวชี้วัดระดับความเข้าใจเรื่องภัยไซเบอร์ของคนไทย ช่วยให้ภาครัฐและเอกชนวางแผนพัฒนาได้แม่นยำขึ้น โดยมีแบบสอบถามที่สามารถเช็คความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ได้ผ่านเว็ปไซต์ เพื่อความรู้เท่าทันมิจฉาชีพ

 

2. ร่วมแรง (Collaborate) – ผนึกกำลังกับพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารให้ทุกฝ่ายร่วมเป็นหูเป็นตาในการสังเกตความผิดปกติต่างๆ และสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับภาครัฐแบบเรียลไทม์ ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, แบงก์ชาติ, กระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อให้การสืบสวนดำเนินการได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

มีการร่วมมือกับแบรนด์โทรศัพท์มือถือและ กสทช.ให้มีการใส่ฟังก์ชันปิดสัญญาณ 2G เข้ามาในโทรศัพท์มือถือ เพื่อตัดช่องโหว่ในการที่มิจฉาชีพจะใช้ส่ง SMS หลอกลวง จากสถานีฐานปลอม รวมถึงการเพิ่มข้อกำหนดในระบบซิมการ์ดเพื่อป้องกันซิมม้า โดยให้ลงทะเบียนได้ไม่เกิน 5 ซิมต่อคน หากเกินจากนี้ต้องดำเนินการผ่านศูนย์บริการ

 

3. เร่งมือ (Motivate) – รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎ หรือกติกา แก้ไขปัญหาย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยั่งยืน

ทั้งนี้เป้าหมายใหญ่ที่ AIS วางไว้คือการทำให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น “Zero Scam Thailand” หรือการทำให้สังคมไทยปลอดจากภัยไซเบอร์ในที่สุด ซึ่งคงจะดีไม่น้อยถ้าไม่ต้องระแวงเวลามีเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามา หรือถ้ามี SMS ส่งมาก็สบายใจได้ว่าไม่ใช่แก๊งมิจฉาชีพ

 


 

ภัยไซเบอร์อาจเข้ามาในรูปแบบที่มองไม่เห็น แต่ผลกระทบชัดเจนและเป็นรูปธรรม ดังนั้นหัวใจของการขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเริ่มสร้างความความรู้ ความเข้าใจ และ ความเชื่อมั่น

ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว สู่ระดับ หน่วยงาน และสังคม นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศทางความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม เพราะสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย ไม่อาจสร้างได้ด้วยพลังขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องเป็นพลังร่วมของเราทุกคน

[อ่าน 12,673]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
KIKI Beauty Space ลักซ์ชัวรี ซาลอนของ “ก้องภพ เอื้อศิริทรัพย์” โตด้วยดาต้า–โปรดักต์–แฟรนไชส์ ปักหมุดสาขาแรกที่ลาว
ซีอีโอทรูลงพื้นที่หาดใหญ่ ฟื้นฟู 18 รร.-ชุมชน ลุยบิ๊กคลีนนิ่ง ย้ำเครือข่ายต้องดีที่สุดเพื่อคนใต้
ทีเส็บเตรียมพร้อม Southern MICE Ready ชู 3 กลยุทธ์จับมือพันธมิตร ร่วมฟื้นฟูไมซ์ภาคใต้หลังพ้นอุทกภัย
“เจ้าสัว” เปิดตัวเซ็ตของขวัญมงคลต้อนรับปีม้า “Chaosua New Year Gift Set 2026”
กาตาร์ แอร์เวย์ส จับมือ Visit Qatar จัด Mega FAM Trip 2025 สุดอลังการ
คิง เพาเวอร์ จัดมหกรรมช้อปของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ สนุกกับกิจกรรม “THE POWER GIFTIVAL”
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved