จี้รัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ-คลอดมาตรการระยะยาว สกัดปัญหาเชิงโครงสร้าง
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนมิถุนายน 2568 โดยมีมติปรับลดกรอบคาดการณ์ GDP ปี 2568 เหลือเพียง 1.5-2.0% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2.0-2.2% สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
“แม้ไตรมาสแรกของปีจะขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เป็นผลจากฐานต่ำและการเร่งเบิกจ่ายลงทุนภาครัฐ หากตัดปัจจัยชั่วคราวออก เศรษฐกิจแท้จริงขยายเพียง 2.1% เท่านั้น”
— นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าว
ภาคส่งออกโตไม่จริง-เอกชนยังอ่อนแรง
กกร. ระบุว่าการส่งออกสินค้าในช่วงที่ผ่านมาแม้ดูเหมือนจะขยายตัวได้กว่า 15% แต่เป็นการส่งออกโดยใช้สินค้าคงคลังเดิม ไม่ได้กระตุ้นภาคการผลิตจริง ซึ่งขยายตัวเพียง 0.6% เท่านั้น ขณะที่ภาคการบริโภคเอกชนเริ่มชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ภาคเอกชนจึงเสนอให้ภาครัฐเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการที่มุ่งเป้า และเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้อย่างน้อย 70% ของกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท พร้อมขยายตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลเพื่อชดเชยนักท่องเที่ยวจีน และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย
“ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 1% จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงโครงสร้างที่ต่อเนื่องและยืดหยุ่น รองรับความเสี่ยงจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน และผลการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ”
— นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ กล่าว
ห่วงปัญหาสวมสิทธิ์ส่งออก-บาทแข็งเร็วเกิน
อีกหนึ่งประเด็นที่ กกร. ให้ความสำคัญคือปัญหาการสวมสิทธิ์และ re-export ที่ใช้สัดส่วน local content ต่ำ ซึ่งแม้จะดันตัวเลขส่งออกให้ดูดี แต่ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งยังขาดการเชื่อมโยงระหว่างการนำเข้า-ส่งออกในระดับข้อมูลเชิงลึก ทำให้กำหนดนโยบายแก้ปัญหาได้ยาก
ในด้านค่าเงินบาท กกร. แสดงความกังวลต่อการแข็งค่ารวดเร็วในระดับ 32.5-32.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญ อาทิ เวียดนาม สิงคโปร์ และจีน ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
หนุนขยาย “คุณสู้ เราช่วย” พร้อมเสนอช่วยผู้ประกอบการ SMEs
กกร. สนับสนุนการขยายโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 1 และการออกแบบเฟส 2 ให้เข้าถึงลูกหนี้มากขึ้น พร้อมเสนอให้มีแผนรองรับระยะยาว เช่น การส่งเสริมรายได้หรือสวัสดิการหลังสิ้นสุดโครงการ เพื่อป้องกันปัญหาซ้ำซ้อนในอนาคต
พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับกิจการขนาดกลาง-ใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่าง เช่น โรงแรม เหลือ 0.5 เท่า จากเดิม 0.8 เท่า ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการกว่า 30,000 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะต้นทุนสูงจากสงครามการค้า และการไหลทะลักของสินค้านำเข้า
“ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด ทั้งการดูแลค่าเงินบาท การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และการอุดช่องโหว่เชิงโครงสร้าง ที่จะช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากภาวะโตต่ำอย่างต่อเนื่องได้”
— นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว