ค่าการนำความร้อน (Thermal Conductivity) ที่ต่ำ
คุณสมบัติแรกที่สำคัญที่สุดคือค่าการนำความร้อนที่ต่ำมาก ผนังฉนวนกันความร้อนที่ดีจะต้องมีค่า U-Value หรือค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนต่ำกว่า 0.25 W/m²K วัสดุฉนวนที่นิยมใช้ เช่น โฟมโพลียูรีเทน (Polyurethane Foam) หรือโฟมโพลีไอโซไซยานูเรต (Polyisocyanurate Foam) สามารถให้ค่าการนำความร้อนที่ต่ำเพียง 0.02-0.03 W/mK ทำให้ป้องกันการสูญเสียความเย็นจากภายในห้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความหนาที่เหมาะสม
ความหนาของผนังฉนวนกันความร้อนต้องคำนวณตามอุณหภูมิที่ต้องการภายในห้องเย็น สำหรับห้องเย็นที่อุณหภูมิ 0-4°C ควรมีความหนา 100-150 มิลลิเมตร ส่วนห้องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -18°C หรือต่ำกว่า ต้องใช้ความหนา 150-200 มิลลิเมตร การเลือกความหนาที่เหมาะสมจะช่วยลดการใช้พลังงานและรักษาอุณหภูมิให้คงที่
ความทนทานต่อความชื้น
ผนังฉนวนกันความร้อนจะต้องทนต่อความชื้นสูงและไม่ดูดซับน้ำ เนื่องจากห้องเย็นมักมีปัญหาการควบแน่นของไอน้ำ วัสดุฉนวนที่มีโครงสร้างเซลล์ปิด (Closed Cell Structure) จะป้องกันการซึมผ่านของไอน้ำและรักษาสมบัติการฉนวนความร้อนได้ยาวนาน นอกจากนี้ยังต้องมีชั้นกั้นไอน้ำ (Vapor Barrier) เพื่อป้องกันการควบแน่นภายในชั้นฉนวน
ความแข็งแรงและความทนทาน
ผนังฉนวนกันความร้อนต้องรับน้ำหนักได้และทนต่อการกดทับ โดยเฉพาะในห้องเย็นที่มีการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ วัสดุฉนวนจะต้องมีค่าความแข็งแรงต่อการอัด (Compressive Strength) อย่างน้อย 150-200 kPa และสามารถรองรับโหลดจากชั้นวางสินค้าหรือระบบท่อต่างๆ ได้
การติดตั้งที่ไร้รอยต่อ
การติดตั้งผนังฉนวนกันความร้อนจะต้องทำให้เกิดรอยต่อน้อยที่สุด เพื่อป้องกัน Thermal Bridge หรือจุดสะพานความร้อนที่จะทำให้เกิดการสูญเสียความเย็น การใช้แผงฉนวนสำเร็จรูปหรือการฉีดโฟมกรรมสิทธิ์บนพื้นผิวจะช่วยลดรอยต่อและเพิ่มประสิทธิภาพการฉนวนความร้อน
การบำรุงรักษาและความคงทน
ฉนวนกันความร้อนที่ดีจะต้องใช้งานได้ยาวนานโดยไม่เสื่อมสภาพ ทนต่อสารเคมีทำความสะอาด และสามารถบำรุงรักษาได้ง่าย วัสดุควรมีอายุการใช้งานอย่างน้อย 20-25 ปี และรักษาประสิทธิภาพการฉนวนความร้อนได้คงที่ตลอดระยะเวลาการใช้งาน
การเลือกและติดตั้งผนังฉนวนกันความร้อนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมาจะช่วยให้ห้องเย็นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงาน และมีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำในระยะยาว