มาตรการนี้ตั้งเป้าให้คนไทยหันมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้าน (Solar Rooftop) แบบเชื่อมต่อสายส่ง (On-grid) ไม่เกิน 10 กิโลวัตต์พีค (KWp) พร้อมใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามค่าใช้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท รวม VAT ต่อราย
โดยรัฐบาลคาดการณ์ว่า หากมีภาคประชาชนเข้าร่วมถึง 90,000 ครัวเรือน จะสามารถช่วยประเทศลดการใช้ไฟฟ้ารวมได้กว่า 585 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้าก๊าซ LNG ได้กว่า 2,100 ล้านบาท และช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้มากถึง 2.64 ล้านตันต่อปี
มาตรการอนุรักษ์พลังงาน : ภาคธุรกิจนำไปลดหย่อนภาษีได้
แม้มาตรการนี้เริ่มจาก “ภาคประชาชน” แต่สัญญาณชัดว่า “พลังงานสะอาด” กำลังเป็นเมกะเทรนด์ใหญ่ของประเทศ เพราะ ครม. ยังไฟเขียวมาตรการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานของภาคธุรกิจควบคู่กันไปด้วย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนซื้อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่มีฉลากประสิทธิภาพสูง หรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงานระดับ 5 ดาว จากกระทรวงพลังงาน จะสามารถนำค่าใช้จ่ายไปหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง นี่จึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุนระยะสั้น แต่คือโอกาสที่ภาคธุรกิจจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ ที่เน้นการใช้พลังงานสะอาด ประหยัด และสร้างความยั่งยืน
ธุรกิจต้องคิดให้ไกลกว่าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป โดยมองหาสินเชื่อเพื่อธุรกิจสีเขียว (Green Loan)
การลงทุนในพลังงานสะอาด ไม่ใช่แค่เรื่อง CSR หรือภาพลักษณ์เท่านั้น แต่คือ “กลยุทธ์ทางการเงิน” ที่ชาญฉลาด โดยเฉพาะตอนนี้ที่สถาบันการเงินหลายแห่ง มี “สินเชื่อเพื่อธุรกิจสีเขียว” หรือ Green Loan เพื่อสนับสนุนโครงการการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่โครงการพลังงานทดแทน ระบบประหยัดไฟฟ้า การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการปรับโครงสร้างองค์กรให้ตอบโจทย์การลดคาร์บอนได้อย่างยั่งยืน และอื่นๆ อีกมากมาย
จุดเด่นของสินเชื่อเพื่อธุรกิจสีเขียว (Green Loan)
โอกาสของพลังงานสะอาด : ธุรกิจที่เริ่มก่อน... ได้เปรียบก่อน
พลังงานสะอาดไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่มาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ทั้งในแง่ของ “สิทธิประโยชน์” และ “ความจำเป็น” ที่จะช่วยประหยัดต้นทุน และสร้างการปรับตัวให้ทันโลกธุรกิจยุคใหม่ และยิ่งมีข่าวดีของภาคประชาชนไทยอย่างมาตรการ “โซลาร์รูฟท็อป” รวมไปถึงภาคธุรกิจที่ทำธุรกิจด้านโซลาร์รูฟท็อป และธุรกิจอื่น ๆ ในซัพพลายเชนยิ่งถือเป็นโอกาสโดยตรง
และจากมาตรการนี้ เมื่อภาคประชาชนร่วมกับภาคธุรกิจ คาดว่าจะช่วยประเทศลดต้นทุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในภาพรวมได้มหาศาล ได้แก่ ลดการใช้ไฟฟ้า 30,268 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า LNG 110,188 ล้านบาทต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอน 15.34 ล้านตัน CO₂ ต่อปี และกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 254,063 ล้านบาท
และสำหรับธุรกิจประเภทอื่น ๆ สถาบันทางการเงินพร้อมให้การสนับสนุนธุรกิจที่มีโครงการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่าง ทีทีบีเอง มีผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อเพื่อธุรกิจสีเขียว ทีทีบี เอสเอ็มอี (ttb sme green loan) ที่เข้าใจผู้ประกอบการธุรกิจ และครอบคลุมการลงทุนโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถึง 7 หมวดหมู่ ตั้งแต่พลังงานหมุนเวียน การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการน้ำ และน้ำเสียอย่างยั่งยืน การป้องกันมลพิษและการจัดการของเสีย การขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด อาคารสีเขียว การจัดการแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน มาพร้อมกับสิทธิพิเศษที่ตรงใจ เข้าถึงได้ ให้ได้มากกว่า พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ที่รักษ์โลก และสิ่งแวดล้อม เพื่อต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน