แม้เวลาจะผ่านมากว่าทศวรรษ แต่อาการปวดแสบปวดร้อนจาก “โรคงูสวัด” ยังคงอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งโรคที่ ‘เจ็บหนักและเจ็บนาน’ ดีเจอ้อย – นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล พิธีกรและกูรูด้านความรักชื่อดัง เผยเรื่องราวของคุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคงูสวัดเรื้อรังมานานกว่า 10 ปี ในงานเสวนา “วัคซีนพร้อมใจ ปลอดภัยทุกวัย… Vaccine for All, Protection for Life” จัดโดย สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุด้วยวัคซีน โดยเฉพาะวัย 50+ ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคงูสวัด ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
ดีเจอ้อย เผยถึงอาการป่วยโรคงูสวัดของคุณแม่ในช่วงเริ่มต้นว่า “ตอนแรกเป็นแค่ผื่นเล็กๆ ประมาณ 4 เม็ดตรงกลางหลัง มีคนทักว่าอาจเป็นงูสวัด ด้วยความที่คุณแม่ป่วยบ่อย จึงพาไปโรงพยาบาลทันที ตอนนั้นคิดว่าไม่น่าจะร้ายแรง ทายาก็น่าจะหาย แต่คุณหมอให้แอดมิท สุดท้ายพบว่าผื่นเริ่มลามจากกลางหลังไปจนถึงใต้ราวนมด้านขวา กลายเป็นแผลขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากนั้น ผื่นน้ำใสแตกเป็นแผลคล้ายน้ำร้อนลวก ปวดแสบปวดร้อนมาก เจ็บปวดที่สุดคือการล้างแผลทุกวัน ต้องพันผ้าก๊อซ แล้วแกะออก ยิ่งแกะยิ่งเจ็บ ทำต่อเนื่องเกือบ 2 สัปดาห์ คิดว่ารับมือได้แล้ว แต่จริงๆ ยังไม่จบ”
“ปัจจุบันแม้แผลจะหาย แต่คุณแม่ยังมีอาการเจ็บแสบร้อนเรื้อรัง ทรมานมาก กระทบกับคุณภาพชีวิตและการนอน บางวันต้องทุบตัวเองเพราะอาการกระตุก ต้องใช้เจลเย็นประคบทุกวัน เพื่อให้หลับได้ ที่หนักกว่านั้น คือ โรคประจำตัวที่เป็นอยู่แย่ลงทั้งหมด ทั้งลมชัก เบาหวาน โพแทสเซียมเกิน โซเดียมต่ำ และมีโรคแทรกซ้อนต่างๆ รุมเร้า จากที่เตรียมจะผ่าเข่าก็ตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบ งูสวัดจึงเป็นโรคที่รู้สึกว่ารับมือยากที่สุด กระทบจิตใจคนที่ดูแล เจ็บที่คุณแม่แต่ปวดที่ใจเรา เพราะเราช่วยเค้าไม่ได้” ดีเจอ้อย เล่าถึงผลกระทบของโรคงูสวัด
ศ.นพ.ธีระพงษ์ ตัณฑวิเชียร รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสถานเสาวภา สภากาชาดไทย และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย อธิบายว่า
“โรคงูสวัดเกิดจากไวรัสชนิดเดียวกับอีสุกอีใส คนไทยอายุ 50 ปีขึ้นไป ต้องเคยเป็นอีสุกอีใสแล้วทุกคน หลังจากหายแล้ว ไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท เมื่อภูมิคุ้มกันลดลง เกิดตุ่มน้ำใสและอาการปวดแสบปวดร้อน กลุ่มเสี่ยงสำคัญ คือ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภูมิคุ้มกันต่ำลง เช่น โรคมะเร็ง โรค SLE อาการแทรกซ้อนที่น่ากังวลที่สุด คือ อาการปวดเรื้อรัง โดยทั่วไปจะมีอาการ 3-6 เดือน แต่อาการแสบร้อนและกระตุก ปวดเรื้อรังเป็นปีๆ พบได้ 10-30% ของผู้ป่วย ยิ่งอายุมากยิ่งเสี่ยงมาก เช่นเดียวกับคุณแม่ของดีเจอ้อย ถือเป็น Critical Case ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก”
“ความรุนแรงของโรคงูสวัด หากขึ้นที่หน้าและเข้าตา อาจทำให้ตาอักเสบหรือตาบอด อีกทั้งในช่วง 3-6 เดือนหลังเป็นโรคงูสวัด ผู้ป่วยมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง (Stroke) มากกว่าปกติ 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไต ปอด หัวใจ หากเป็นโรคงูสวัดร่วมด้วย อาจส่งผลให้อาการแย่ลงและถึงขั้นเสียชีวิตได้ปัจจุบันโรคงูสวัดสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แม้เคยเป็นโรคงูสวัดแล้วก็สามารถฉีดวัคซีนได้ เพื่อลดความเสี่ยงเป็นซ้ำ ลดความรุนแรงของอาการ และช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน” ศ.นพ.ธีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
ดีเจอ้อย ได้ฝากข้อคิดจากประสบการณ์ตรงถึงวัย 50+ ว่า “ถ้าวันนั้นรู้เรื่องวัคซีนเร็วกว่านี้ พี่อ้อยเชื่อว่าคุณแม่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้มาก ไม่ใช่ความสุขแค่ 10 ปีที่เสียไป แต่รวมถึงเวลาที่เหลือในชีวิตด้วย ถึงแม้จะสายเกินไปสำหรับคุณแม่ แต่ยังไม่สายเกินไปสำหรับใครที่มีโอกาสได้ป้องกัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคและวัคซีนค่ะ”