‘LISA’ as a Legacy Brand: Crafting an Empire Beyond Music
14 Oct 2025

ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่าง ‘บุคคล’ และ ‘แบรนด์’ เลือนรางลงจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีกรณีศึกษาใดที่จะฉายภาพปรากฏการณ์ ‘The Brand of ME, Inc.’ ได้ทรงพลังและสมบูรณ์แบบเท่ากับ ลลิษา มโนบาล หรือลิซ่า (LISA) สมาชิกวง BLACKPINK เรื่องราวของเธอไม่ใช่เพียงเทพนิยายซินเดอเรลล่าจากเด็กไทยผู้มุ่งมั่นสู่การเป็นศิลปิน K-Pop ระดับโลก

แต่คือบทเรียนชั้นยอดว่าด้วยการสถาปนา ‘ตัวตน’ ให้กลายเป็นบรรษัท (Corporation) ที่มีมูลค่ามหาศาล มีสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) เป็นขุมพลัง และมีแฟนคลับเป็นระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนอาณาจักร นี่คือการถอดรหัสกลยุทธ์เบื้องหลัง ‘บริษัท ลลิษา มโนบาล (จำกัดมหาชน)’ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่กลับมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทั่วโลก

 

The Core Product ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่อาจลอกเลียนแบบได้ ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือทุกแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ต้องมี Core Product ที่ยอดเยี่ยม สำหรับ LISA ‘ผลิตภัณฑ์’ นั้นคือ ความสามารถ (Talent) ที่ถูกขัดเกลาจนคมกริบและหาตัวจับยาก ดังนี้

 

  • World-Class Performance as a Foundation:

แก่นแท้ของแบรนด์ลิซ่า คือทักษะการเต้นที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นหนึ่งในดีที่สุดของยุคสมัย ทักษะนี้ไม่ใช่แค่พรสวรรค์ แต่คือผลลัพธ์ของการฝึกฝนอย่างหนักนับหมื่นชั่วโมง แสดงให้เห็นจนเป็นที่ประจักษ์ว่านี่คือ ‘Proof of Work’ ที่สร้างความน่าเชื่อถือและเป็นรากฐานให้ทุกอย่างที่ตามมา หากเปรียบในโลกธุรกิจ นี่คือคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ไร้ข้อกังขา เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกคุณเหนือคู่แข่ง

 

  • Authentic Differentiation...อัตลักษณ์ไทยที่ไม่ใช่แค่ Gimmick:

ในสมรภูมิ K-Pop ที่มีการแข่งขันเข้มข้น ลิซ่าไม่ได้พยายามทำตัวกลืนไปกับพิมพ์นิยม แต่กลับใช้ ‘ความเป็นไทย’ เป็นจุดสร้างความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ (Strategic Differentiation) ที่ทรงพลัง ตั้งแต่การสอดแทรกองค์ประกอบศิลปะไทยในผลงานโซโล่ ‘LALISA’ ไปจนถึงการพูดภาษาไทยอย่างเป็นธรรมชาติ นี่ไม่ได้เป็นเพียง Gimmick ทางการตลาด แต่เป็นการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทำให้เธอเป็นมากกว่าศิลปิน K-Pop ในสายตาคนทั่วโลก แต่เป็น ‘ทูตวัฒนธรรม’ ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยและเป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก

 

  • The Visual Identity...เมื่อสไตล์คือภาษาของแบรนด์:

ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง หากจะเปรียบเปรยว่าลิซ่าคือ "Walking Billboard" ที่สมบูรณ์แบบ การร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง CELINE, BVLGARI และล่าสุด Louis Vuitton ไม่ใช่แค่การรับบทพรีเซนเตอร์ แต่เป็นการ ‘หลอมรวม’ ภาพลักษณ์ของแบรนด์เหล่านั้นเข้ากับตัวตนของเธอได้อย่างลงตัว สไตล์ของเธอที่ผสมผสานความเท่แบบสตรีทกับความหรูหราระดับไฮเอนด์ ได้สร้าง Visual Identity ที่ชัดเจน สื่อสาร ‘บุคลิกของแบรนด์ลิซ่า’ ที่มีความมั่นใจ ทันสมัย และน่าค้นหกในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์ลักซ์ชัวรีปรารถนา

 

 

ก่อนที่ลิซ่าจะเข้ามาเป็น Global Ambassador ของ CELINE ภายใต้การนำของ Hedi Slimane แบรนด์นี้กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ด้านการตลาด ภาพลักษณ์ถูกมองว่าปิดกั้นเกินไปและไม่สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง การขาด Connection กับ Gen Z และ Millennials ส่งผลให้ CELINEเสี่ยงสูญเสียความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมและโอกาสในตลาดแฟชั่นระดับโลก แต่การมาของลิซ่าได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจน เธอไม่ได้เพียงถือกระเป๋า CELINE Ava และ Triomphe แต่สร้างปรากฏการณ์ Cultural Demand เปลี่ยนสินค้าแฟชั่นธรรมดาให้กลายเป็น ‘Must-have Item’ ที่ผู้คนอยากครอบครอง ทำให้สินค้า CELINE ขายดีแบบถล่มทลาย เพราะเธอสร้างตัวตนและความต้องการเชิงอารมณ์ที่ผสานกับภาพลักษณ์แบรนด์อย่างลงตัว

ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ชัดเจนทั้งในแง่ของ Brand Equity และ Market Performance เพราะ CELINE ถูกรีแบรนด์จากความสุขุมนุ่มลึกสู่ภาพลักษณ์ที่เท่ ทันสมัย และตรงใจกลุ่ม Gen Z และ Millennials อย่างชัดเจน ข้อมูลจาก Lyst แพลตฟอร์มค้นหาแฟชั่นระดับโลก รายงานว่าการค้นหาแบรนด์เพิ่มขึ้นกว่า 66% หลังลิซ่าปรากฏตัวบนรันเวย์ การ เติบโตนี้ไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราว แต่สะท้อนให้เห็น ROI ทางการตลาดที่จับต้องได้จริง และตอกย้ำว่าลิซ่าคือ Revenue & Attention Driver ที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและการรับรู้แบรนด์ในระดับโลก

 

 

เมื่อ CELINE ได้รับการฟื้นฟูจนสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว ลิซ่าก็ถูกส่งต่อไปยัง Louis Vuitton อีกหนึ่งแบรนด์หลักของเครือ LVMH ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นกลยุทธ์การจัดการพอร์ตโฟลิโอที่เฉียบคม LVMH มองว่า ‘แบรนด์ลิซ่า’ คือสินทรัพย์ทางการตลาดที่ทรงพลังที่สุดในมือ และสามารถใช้เป็นเครื่องมือสร้าง Cross-Brand Synergy เชื่อมโยงอิทธิพลของเธอข้ามแบรนด์ในเครือ เพื่อขยาย Market Reach, Brand Awareness และ Sales Velocity (อัตราการขายหรือความเร็วในการทำยอดขายของสินค้าในช่วงเวลาหนึ่ง) ไปพร้อมกัน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อน ว่า LVMH ใช้บุคคลสำคัญอย่างมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนพอร์ตโฟลิโอแบบองค์รวม (Portfolio Optimization)

 

 

นอกจากนี้ หาก CELINE คือเวทีที่ลิซ่าสร้างภาพลักษณ์ความเท่ และ Louis Vuitton คือการตอกย้ำสถานะไอคอนสูงสุด การร่วมงานกับ BVLGARI แบรนด์เครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงจากอิตาลี คือบทพิสูจน์ว่าอิทธิพลของลิซ่าสามารถทะลุ เข้าสู่ตลาดหรูหราและเก่าแก่ที่สุดได้สำเร็จ ด้วยผลลัพธ์ที่ LVMH พึงพอใจอย่างยิ่ง เธอทลายกำแพงของ High Jewelry ที่เดิมถูกมองว่าเข้าถึงยากสำหรับคนรุ่นใหม่ ทำให้คอลเลกชั่นระดับตำนานอย่าง Serpenti และ B.zero1 กลายเป็น เครื่องประดับที่ร้อนแรง ทรงพลัง และเป็นที่ปรารถนาของกลุ่มลูกค้าอายุน้อยทั่วโลก การสวมใส่อัญมณีราคาหลายล้าน บาทจึงไม่ใช่แค่การแสดงความมั่งคั่ง แต่กลายเป็นเรื่องของสไตล์และการแสดงออกถึงตัวตนอย่างแท้จริง

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนผ่านตัวเลขและหลักฐานเชิงประจักษ์ Jean-Christophe Babin, CEO ของ BVLGARI เคยชื่นชมว่า แคมเปญที่ลิซ่าเข้าร่วมสร้าง Engagement บนโซเชียลมีเดียสูงกว่าแคมเปญอื่นหลายเท่าตัว นาฬิกา BVLGARI BVLGARI X LISA LIMITED EDITION ที่เธอร่วมออกแบบ ขายหมดเกลี้ยงทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ว่า ‘แบรนด์ลิซ่า’ ทรงอิทธิพลและเปลี่ยนชื่อเสียงให้กลายเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่วัดผลได้จริง

BVLGARI มองลิซ่าไม่ใช่แค่ Brand Ambassador คนหนึ่ง แต่ให้เธอเป็นศูนย์กลางของแคมเปญระดับโลกหลายครั้ง เช่น แคมเปญ ‘Unexpected Wonders’ ที่เธอปรากฏตัวเคียงข้างซูเปอร์สตาร์ระดับ A-List อย่าง Anne Hathaway และ Zendaya การตัดสินใจนี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า Bvlgari ให้ความสำคัญกับพลังของลิซ่าเทียบเท่ากับดาราฮอลลีวูดระดับ โลก

การร่วมงานกับ BVLGARI ตอกย้ำความเป็น ICONOMICS ของลิซ่าได้อย่างไร้ที่ติ เธอไม่ได้เพียงสวมใส่เครื่องประดับ แต่ ‘เติมชีวิต’ ให้กับแบรนด์ สร้างความต้องการและมูลค่าอย่างมหาศาล พิสูจน์ให้เห็นว่าอิทธิพลของเธอคือสินทรัพย์ ทางธุรกิจที่สามารถข้ามทุกหมวดหมู่ของสินค้าฟุ่มเฟือย ตั้งแต่แฟชั่นเครื่องแต่งกาย (CELINE) เครื่องหนัง (Louis Vuitton) ไปจนถึงอัญมณีและนาฬิการะดับสูง ( BVLGARI) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และยืนยันว่าแบรนด์ลิซ่าคือ Growth Engine เชิงกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกแฟชั่นและสินค้าหรูหราระดับนานาชาติ

 

 

ลิซ่ายังตอกย้ำสถานะของเธอในฐานะ Global Icon ที่มีอิทธิพลต่อการตลาดและธุรกิจแฟชั่นอย่างเป็นระบบ เธอไม่ได้ จำกัดตัวเองอยู่แค่แฟชั่นหรือสินค้าใดสินค้าเดียว แต่สามารถยกระดับมูลค่าและสร้างความต้องการให้กับทุกสิ่งที่ เกี่ยวข้อง การมีลิซ่าเป็นตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์ทำให้ LVMH สามารถมอง ROI ทั้งในมิติ Direct Revenue จากยอดขาย สินค้า, Brand Equity Gain (มูลค่าแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นจากความนิยมและการรับรู้ของผู้บริโภค), และ Portfolio Synergy ที่ ข้ามแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปรากฏการณ์นี้สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘Lisa Effect’ โมเดลที่แสดงให้เห็นว่า Personal Brand ที่แข็งแรงและมีอิทธิพล ระดับโลก สามารถเป็น Growth Engine ขององค์กรใหญ่ สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่วัดผลได้จริง ทั้งในเชิงรายได้ การรับรู้ แบรนด์ และความสามารถในการต่อยอดทางกลยุทธ์ในอนาคต นี่คือกรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดว่าการลงทุนในบุคคลที่มี อิทธิพลสูงสามารถเป็นสินทรัพย์ทางธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดที่เหนือชั้นได้

 

The Ecosystem Flywheel...จาก ‘แฟนคลับ’ สู่ ‘กองทัพ’ เศรษฐกิจ

หากลิซ่าคือบริษัท แฟนคลับของเธอ (Lilies และ BLINKs) ก็ไม่ใช่แค่ลูกค้าทั่วไป แต่คือระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

 

  • Social Media as a Global Distribution Channel:

การมีผู้ติดตามบน Instagram มากที่สุดในหมู่ศิลปิน K-Pop และคนไทย ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่คือช่องทางการจัดจำหน่ายและการสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดช่องทางหนึ่งของโลก ทุกโพสต์ของเธอคือการยิงสปอตโฆษณาไปยังผู้บริโภคหลายสิบล้านคนทั่วโลกโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสื่อกลางใดๆ นี่คืออำนาจการต่อรองและอิทธิพลที่แบรนด์ต่างๆ ยอมจ่ายเพื่อให้ได้มา

ในปี 2025 ลิซ่ายังคงครองบัลลังก์ในโลกโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะบน Instagram ที่ไม่เพียงแต่เธอเป็นศิลปิน K-pop ที่มีรายได้สูงสุดต่อโพสต์ แต่ยังรั้งอันดับ 4 ในกลุ่มศิลปินทั่วโลกบนแพลตฟอร์มนี้ โดยค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อโพสต์อยู่ระหว่าง 998,378 – 1,625,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32 – 52 ล้านบาทต่อโพสต์) และค่าตอบแทนต่อ Instagram Story อยู่ที่ 250,378 – 750,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 – 24 ล้านบาทต่อสตอรี่)

ข้อมูลจาก Instagram Analytics Auditor ยังระบุว่า ลิซ่าคือศิลปิน K-POP ที่มีค่าจ้างสูงสุดต่อโพสต์บน Instagram ในปี 2025 โดยประเมินไว้ที่ประมาณ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 51 ล้านบาทต่อโพสต์ ส่วน HypeAuditor ให้ภาพรวมรายได้จาก Instagram เฉพาะในเดือนเมษายน 2025 ของลิซ่าอยู่ระหว่าง 354,733 – 485,984 ดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็น ประมาณ 11.4 – 15.6 ล้านบาท)

พลังโซเชียลของลิซ่าไม่ได้วัดเพียงรายได้เท่านั้น เมื่อเธอโพสต์ภาพจากงานแฟชั่นโชว์ Victoria’s Secret เพียงครั้งเดียว ในปี 2024 แต่ส่งมูลค่าทางสื่อ (Media Impact Value) ให้แบรนด์สูงถึง 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 51 ล้านบาท) ตัวเลขที่สะท้อนความสามารถในการสร้างผลกระทบเชิงการตลาดอย่างเข้มข้นของเธอ

 

 

ปัจจุบัน Lisa มียอดผู้ติดตามมากกว่า 106.9 ล้านคน บน Instagram ภายใต้แอ็กเคานต์ @lalalalisa_m ซึ่งช่วยยก ระดับอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียและมูลค่าทางการค้าอย่างมหาศาล เธอคือศิลปิน K-pop คนแรกและคนเดียวที่แตะยอด ผู้ติดตามระดับนี้

เมื่อผสานกับผลงานเพลงเดี่ยวที่ได้รับความนิยมระดับโลก และการเดินเกมธุรกิจอย่างแยบยลผ่านการรับงานพรีเซนเตอร์และสร้างแบรนด์ของตนเอง ได้ผลักดันให้มูลค่าสุทธิอยู่ในช่วง 30 – 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 960 – 1,280 ล้านบาท) ในปี 2025

ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าลิซ่า ไม่เพียงก้าวเต็มสู่สถานะ ‘Global ICONOMICS’ ที่สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรี แต่เธอยัง แสดงให้ เห็นว่าโซเชียลมีเดียกลายเป็น ‘สินทรัพย์ทางการตลาด’ อันทรงพลัง และเปี่ยมด้วยคุณค่าทางธุรกิจระดับโลก

 

  • The ‘LISA Effect’...พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่วัดผลได้:

ระบบนิเวศนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างการรับรู้ แต่เปลี่ยนเป็นยอดขายได้จริง สินค้าที่เธอใช้หรือสวมใส่ (Sold-out Effect) สถานที่ที่เธอไปเยือน กลายเป็นจุดหมายปลายทางของแฟนคลับ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าแฟนคลับของเธอคือกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง (High Purchasing Power) และมีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ในระดับสูงสุด พวกเขาไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะตัวสินค้า แต่ซื้อเพราะลิซ่า

 

 

ตัวอย่างเช่น เมื่อลิซ่าโพสต์ภาพของเธอกับ Louis Vuitton x Yayoi Kusama Pumpkin Bag ในอินตาแกรมส่วนตัว ความต้องการในตลาดก็พุ่งสูงทันทีจนกลายเป็นไอเท็มที่เหล่าแฟนและนักสะสมต่างแย่งชิง กระทั่งถูกจัดให้อยู่ในหมวดของหายากระดับคอลเลกเตอร์ ที่มีคุณค่าทั้งเชิงศิลปะและแฟชั่น ยิ่งตอกย้ำบทบาทของลิซ่าในฐานะ ผู้ทรงอิทธิพลที่สามารถเปลี่ยนงานศิลป์ให้กลายเป็นแฟชั่นไอเท็มที่โลกต้องการได้เพียงชั่วข้ามคืน

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ อิทธิพลของเธอยังลามไปถึงของเล่นสะสมชื่อดังอย่าง Labubu Figurine และอีกหลายคอลเลกชั่นที่ทำให้ความต้องการพุ่งสูงขึ้นทันทีหลังจากลิซ่าโพสต์ภาพคู่ด้วย

ขณะที่ในสายแฟชั่นสตรีทแวร์ เธอยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้หมวกแก๊ปของ CELINE กลายเป็นของหายาก โดยเฉพาะรุ่นที่ลิซ่าสวมขึ้นปกนิตยสารจนทำให้สินค้าขาดตลาดไปทั่วโลก

 

หรือเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ลิซ่าได้จัดงานแฟลชมาร์เก็ตสุดพิเศษในกรุงโซลภายใต้ชื่อ ‘Welcome to Lisa’s Closet’ ซึ่งจัดขึ้นเพียงหนึ่งวันเท่านั้น แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เพราะบรรดาแฟนๆ แห่กันมาจับจองเสื้อผ้าและไอเท็มแฟชั่นส่วนตัวของเธออย่างคึกคัก ภายในงานเต็มไปด้วยชิ้นเด่นที่หลายคนคุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นชุดซ้อม เสื้อผ้าสำหรับเดินทาง แบรนด์เนมสุดหรู ไปจนถึงชุดที่เธอสวมใส่บนรันเวย์แฟชั่นระดับโลกและเวทีการแสดงที่ยิ่งใหญ่ ผลลัพธ์คือสินค้าหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว สะท้อนพลังอิทธิพลของลิซ่าในฐานะแฟชั่นไอคอนระดับโลกอย่างแท้จริง

ความน่าสนใจของงานนี้อยู่ที่การผสมผสานเสื้อผ้าแนวสตรีทแคชชวล เข้ากับแฟชั่นลักซ์ชัวรีวินเทจได้อย่างลงตัวตามสไตล์เฉพาะตัวของลิซ่า ขณะเดียวกันแฟนๆ ยังบอกเล่าถึงความรู้สึกผูกพันทางอารมณ์กับของที่ได้มา เพราะแต่ละชิ้นมีเรื่องราวส่วนตัวของเธอซ่อนอยู่ บางคนถึงกับเจอเซอร์ไพรส์เล็กๆ อย่างขนแมวของลิซ่าติดอยู่กับเสื้อผ้า ซึ่งยิ่งทำให้ชิ้นนั้นมีคุณค่าทางใจมากขึ้น ซึ่งรายได้จากการขายในครั้งนี้ยังถูกนำไปใช้ทำประโยชน์เพื่อสังคม โดยลิซ่าได้มอบเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนโครงการจัดหาน้ำสะอาดและติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในทวีปแอฟริกา งานดังกล่าวจึงไม่เพียงตอกย้ำบทบาทของเธอในโลกแฟชั่น แต่ยังสะท้อนจิตวิญญาณแห่งการให้และความรับผิดชอบต่อสังคม

เมื่อประกอบกับการที่ลิซ่ายังคงปรากฏตัวบนเวทีคอนเสิร์ตระดับโลกและเข้าร่วมอีเวนต์แฟชั่นชั้นนำทั่วโลก งานดังกล่าวจึงกลายเป็นเครื่องยืนยันว่า ลิซ่าไม่เพียงครองหัวใจแฟนเพลงในฐานะซูเปอร์สตาร์ระดับโลก แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ในฐานะสไตล์ไอคอนที่ทำให้ทุกสิ่งที่เธอสวมใส่กลายเป็นของสะสมที่มีคุณค่ามหาศาล ทั้งในมิติของแฟชั่นและการทำเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

 

  • Community as Co-Creators and Marketers:

แฟนคลับในยุคนี้ไม่ใช่ผู้รับสารฝ่ายเดียว พวกเขาคือผู้สร้างคอนเทนต์ (Content Creator) เช่น เมื่อลิซ่าให้สัมภาษณ์เป็นภาษาเกาหลี หรือโพสต์ข้อความใดๆ ทีมแฟนคลับนานาชาติจะระดมกำลังกันแปลเป็นภาษาต่างๆ (อังกฤษ, ไทย, จีน, สเปน ฯลฯ) ภายในเวลาไม่กี่นาที ทำให้กำแพงด้านภาษาหายไป และแฟนคลับทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อกับลิซ่าได้แบบเรียลไทม์ เห็นได้ชัดว่าแฟนคลับตัวจี๊ดเหล่านี้รับบทนักการตลาด และทีมประชาสัมพันธ์ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่หวังผลตอบแทน โดยตัวอย่างอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดคือ การสร้างเทรนด์บนโซเชียลมีเดีย (Hashtag Campaign) ในวันเกิดลิซ่า แฟนคลับจะนัดแนะกันทั่วโลกเพื่อทวีตข้อความพร้อมติดแฮชแท็กที่สร้างขึ้นมาเฉพาะ เช่น #SuperstarLalisaDay ทำให้แฮชแท็กนี้ติดเทรนด์อันดับ 1 ของโลกบน X ทำให้สื่อต่างๆ ทั่วโลกต้องหันมาทำข่าว กลายเป็นการโปรโมตชื่อของลิซ่าไปในวงกว้างโดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว หรือเมื่อครั้งลิซ่าเป็น Global Ambassador ให้ CELINE แฟนคลับจะพร้อมใจกันใช้แฮชแท็ก #LISAxCELINE ทุกครั้งที่เธอโพสต์ภาพกับสินค้าของแบรนด์ เป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และตอกย้ำตำแหน่งของเธอในโลกแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง

หรือกรณีการปั่นยอดวิวและสตรีมมิ่ง ที่นำกลยุทธ์ 24-Hour Challenge มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ MV เพลง LALISA หรือ MONEY ถูกปล่อยออกมา แฟนคลับจะตั้งเป้าหมายร่วมกันว่าจะต้องทำลายสถิติยอดวิวสูงสุดใน 24 ชั่วโมงแรก พวกเขาสร้าง ‘คู่มือการสตรีมที่ถูกต้อง’ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกยอดวิวนับโดย YouTube และจัดปาร์ตี้สตรีมมิ่งออนไลน์กันข้ามวันข้ามคืน นี่คือกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้เพลงของลิซ่าเดบิวต์บนชาร์ตระดับโลกอย่าง Billboard ได้สำเร็จ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ การปกป้องภาพลักษณ์ศิลปิน (Image Protection) ที่แฟนคลับเก่งกาจในเรื่อง Crisis Management หากมีข่าวลือในแง่ลบหรือข้อมูลเท็จเกี่ยวกับลิซ่า พวกเขาจะทำหน้าที่เป็นทีมจัดการภาวะวิกฤติทันที โดยร่วมกันรายงานโพสต์หรือบัญชีที่สร้างข่าวปลอม และในขณะเดียวกันก็จะ ชำระล้างไทม์ไลน์ (Cleansing the timeline) ด้วยการโพสต์ภาพและข้อความเชิงบวกเกี่ยวกับลิซ่า เพื่อให้ข่าวร้ายถูกกลบไปอย่างรวดเร็วทั้งหมดนี้คือกลไกที่ทำให้แบรนด์ลิซ่า แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นพลังที่องค์กรธุรกิจต้องใช้งบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างขึ้น

 

The CEO Mindset...การกำเนิดของ ‘LLOUD’ และการควบคุมชะตาแบรนด์

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดและตอกย้ำความเป็น ‘The Brand of ME, Inc.’ ของ LISA คือการก่อตั้งบริษัทจัดการศิลปินของตัวเองในชื่อ ‘LLOUD’ ในปี 2024 นี่คือการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอไม่ใช่แค่ ‘ผลิตภัณฑ์’ แต่คือ ‘เจ้าของแพลตฟอร์ม’

 

 

  • From Talent to Tycoon...การเปลี่ยนผ่านจากศิลปินสู่เจ้าของธุรกิจ:

การตั้งบริษัทของตัวเองคือการก้าวข้ามจากบทบาท ‘พนักงาน’ (ภายใต้สังกัดเดิม) สู่การเป็น ‘ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)’ ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในอาณาจักรของตนเอง เป็นการควบคุมสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุด นั่นคือ ‘ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์ลิซ่า’ อย่างเต็มรูปแบบ 100%

 

  • Strategic Control and Vertical Integration:

LLOUD คือการทำ Vertical Integration (การควบรวมกิจการหรือการบริหารห่วงโซ่ธุรกิจในแนวดิ่ง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยบริษัทสามารถควบคุมกระบวนการผลิต การจัดจำหน่าย หรือแม้แต่ช่องทางขายเองได้ทั้งหมด แทนที่จะพึ่งพาคนกลางหรือผู้เล่นภายนอก) ในธุรกิจของตัวเอง ทำให้ลิซ่าสามารถบริหารจัดการทิศทางอาชีพ, การเลือกรับงาน, การสร้างสรรค์ผลงาน และการเจรจาต่อรองทางธุรกิจได้โดยตรง โดยมีวิสัยทัศน์ของเธอเป็นที่ตั้ง สิ่งนี้เปิดโอกาสให้เธอสามารถขยายแบรนด์ลิซ่าไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ที่นอกเหนือจากดนตรีและการเป็นพรีเซนเตอร์ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นไลน์ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง การลงทุน หรือแม้กระทั่งการปั้นศิลปินคนอื่นๆ ต่อไป

 

  • Building a Legacy Brand:

การมีบริษัทของตัวเองคือการวางรากฐานเพื่อสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน (Legacy Brand) ที่จะคงอยู่ต่อไปแม้ในวันที่เธอไม่ได้อยู่บนเวทีแล้ว LLOUD ไม่ใช่แค่บริษัทจัดการศิลปิน แต่คือสัญลักษณ์ของ ‘อิสรภาพ’ และ ‘อำนาจ’ ในการกำหนดอนาคตของแบรนด์ตัวเอง ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการสร้าง Personal Branding และเห็นได้ชัดเจนว่าแม้จะเพิ่งเริ่มต้นแต่ลิซ่าก็ทำได้ดีทีเดียว

 

ลิซ่าจึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของ ICONOMICS เพราะเธอได้พิสูจน์แล้วว่า ‘ตัวตน’ ของเธอคือแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถฟื้นคืนชีพแบรนด์เก่าแก่ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ และขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมไปทั่วโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด เธอไม่ใช่แค่ผู้ตามเทรนด์ แต่เธอคือเครื่องจักรเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนเม็ดเงินด้วยตัวเองอย่างแท้จริง

 


บทความจากนิตยสาร MarketPlus ฉบับที่ 180 October 2025 ICONOMICS: The Blueprint of Modern Legends

[อ่าน 2,386]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับใช้บัตรวีซ่าแพลทินัมให้คุ้มที่สุดในชีวิตประจำวัน
finbiz by ttb เปิด 6 เทรนด์ธุรกิจ SME ปี 2026 ก้าวสู่ยุคใหม่ของธุรกิจที่ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
‘สิงห์ - เอส โคล่า’ 2 แบรนด์ 2 สไตล์ กับการสร้างแบรนด์ผ่าน ‘สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง’
ทีทีบี ฟินทิป แชร์ 12 วิธีออมเงินง่าย ได้ผลจริง
“คะแนนคือค่าเงินใหม่ของการเดินทาง : ใช้จ่ายทุกวัน = เที่ยวรอบโลก”
ดังแล้วดี ดีที่ดัง: เคล็บลับการสร้าง Personal branding ให้เป็นที่น่าจดจำ
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved