The Narrative Queen! 'Taylor Swift' and Her Storytelling Empire
21 Oct 2025

ถ้าพูดถึงการสร้าง Persoal Brand ที่ทรงพลังในยุคนี้ คงหนีไม่พ้น 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' เธอคือนิยามของ 'The Brand of ME, Inc.' อย่างแท้จริง

 

Authenticity ที่ไร้ข้อกังขา เทย์เลอร์ สวิฟต์ เริ่มต้นจากการเป็นนักแต่งเพลงที่เขียนเรื่องราวจากชีวิตจริงของตัวเอง เพลงของเธอเป็นเหมือนไดอารี่ที่เปิดเผยความรู้สึก ทั้งความรัก ความเจ็บปวด ความโกรธ และความสุข เธอไม่ได้แสร้งทำเป็นสมบูรณ์แบบ แต่เธอเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและอารมณ์ ความจริงใจนี้ทำให้แฟนๆ รู้สึกเหมือนเธอคือเพื่อนที่เข้าใจและพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน

Narrative ที่ถูกเขียนและกำกับโดยเธอเอง: ตลอดเส้นทางอาชีพของเธอ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ เธอไม่ได้เป็นแค่คนดังที่ร้องเพลง แต่เธอคือ 'ตัวละครหลัก' ในเรื่องเล่าของตัวเอง ตั้งแต่การต่อสู้เพื่อสิทธิ์ในเพลงของตัวเอง การถูกบูลลี่จากคนดังคนอื่น ไปจนถึงการตัดสินใจเผยแพร่เพลงเวอร์ชั่นใหม่ ทุกการกระทำของเธอคือบทหนึ่งในเรื่องเล่าที่เธอเป็นผู้เขียนและกำกับเองทั้งหมด

นี่คือ The Brand of Empowerment เพราะแบรนด์เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ใช่แค่เรื่องเพลง แต่คือ แบรนด์แห่งการเสริมพลัง (Empowerment) เธอใช้ชื่อเสียงและอิทธิพลเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ผู้หญิง สนับสนุนสิทธิของศิลปิน และกระตุ้นให้แฟนๆ ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เธอได้นิยามตัวเองให้ใหญ่กว่าแค่ 'ศิลปิน' แต่เป็น 'พลังขับเคลื่อนทางสังคม'

 

 

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้ขายแค่เพลง แต่เธอกำลังขายเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาเผชิญหน้ากับโลกที่โหดร้ายและกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพล การที่แฟนๆ ซื้อบัตรคอนเสิร์ตของเธอในราคาแพงลิบลิ่ว ไม่ใช่แค่เพราะอยากฟังเพลง แต่เพราะอยากเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าอันยิ่งใหญ่นี้

เรื่องราวของเธอคือหนึ่งในตำราทางการตลาดเล่มที่ดีที่สุดว่าด้วยการสร้างแบรนด์ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา การควบคุมสินทรัพย์ทางปัญญา และการเปลี่ยนฐานแฟนคลับให้กลายเป็นระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ภักดีที่สุดในโลก

หัวใจของจักรวาลเทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้อยู่ที่แค่เสียงเพลง หากแต่อยู่ที่ 'Narrative Universe' หรือจักรวาลแห่งการเล่าเรื่องที่เธอสร้างขึ้นมาอย่างเหนือชั้น เธอไม่ได้เพียงแต่งเพลง แต่เธอขาย 'เรื่องราว' ที่ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของได้จริงๆ นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ผู้ฟังไม่ใช่แค่แฟนเพลง แต่กลายเป็นสาวกที่ภักดีอย่างเหนียวแน่น และนี่คือพลังทางแบรนด์ที่ทรงอานุภาพที่สุดในยุคดิจิทัล

  • Love Story คือกรณีศึกษาที่สะท้อนการปรับเปลี่ยนมุมมองเรื่องราวโศกนาฏกรรมสุดคลาสสิกอย่างโรมิโอ–จูเลียต ให้กลายเป็นตอนจบที่ทุกคนอยากครอบครอง จากความเศร้าสู่ความหวัง กลายเป็นเพลงที่สร้าง Emotional Escape ให้กับวัยรุ่นยุคหนึ่ง และผลลัพธ์คือกวาดรางวัลใหญ่จากเวที BMI, CMT และ CMA การันตีพลังการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนโศกนาฏกรรมเป็นสินค้าวัฒนธรรมที่ขายฝันได้จริง

  • Blank Space คือการตลาดเชิงรุกที่ใช้ 'ภาพลักษณ์ด้านลบ' มาตีความใหม่อย่างแสบสันต์ แทนที่จะปฏิเสธคำวิจารณ์ว่าเป็นนักรักขี้เบื่อ แต่เธอเลือกจะเป็น 'นักรักตัวแม่' แบบจงใจ กลายเป็นการควบคุมบทสนทนา (Narrative Control) ที่เหนือชั้นที่สุด เธอไม่เพียงสร้างเพลงป๊อปติดหู แต่ยังส่งสารตอบโต้สื่อได้อย่างเฉียบคมจนแบรนด์กลับมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผลลัพธ์คือรางวัล Song of the Year จาก AMA และการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy หลายสาขา

  • All Too Well (10-Minute Version) คือบทพิสูจน์ว่า Authentic Storytelling คือสินทรัพย์อันทรงคุณค่า เพลงยาว 10 นาทีที่เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กน้อย ตั้งแต่ผ้าพันคอไปจนถึงการยืนในแสงไฟตู้เย็น กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ผู้คนทั่วโลกนำไปทับซ้อนกับประสบการณ์ของตัวเองได้อย่างทรงพลัง พร้อมต่อยอดเป็นคอนเทนต์ภาพยนตร์สั้นที่คว้า Grammy Award for Best Music Video และ Video of the Year จาก MTV VMA

ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ใช่แค่ศิลปินชื่อดังทั่วไป แต่คือ 'Brand Architect' ที่เข้าใจการสร้าง Storytelling Economy อย่างถึงแก่น เธอแปลงประสบการณ์ส่วนตัวให้เป็นสินทรัพย์ทางอารมณ์ (Emotional Assets) ที่แฟนๆ พร้อมจะลงทุน ทั้งเวลา เงิน และความภักดี และนี่คือสูตรสำเร็จที่ทำให้ 'เทย์เลอร์ สวิฟต์' กลายเป็นแบรนด์ระดับตำนานที่ไม่มีวันตกยุค

 

 

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของ Taylor Swift ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเล่าเรื่องผ่านเพลง แต่ยังยกระดับเป็นการออกแบบแบรนด์อย่างมีชั้นเชิง จนกลายเป็นโมเดลทางการตลาดที่นักการตลาดทั่วโลกต้องศึกษา โดยเฉพาะStrategic Reinvention หรือศาสตร์แห่งการรีแบรนด์ตัวเองในทุก 'Era' โดย Taylor Swift แสดงให้เห็นว่า 'การเปลี่ยนแปลง' ไม่ใช่ความเสี่ยง แต่คือการลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ยุค คันทรี ที่สร้างฐานแฟนกลุ่มแรก ไปจนถึงการก้าวขึ้นเป็นเจ้าหญิงเพลงป๊อป จนถึงการพลิกมาเป็น อินดี้-โฟล์ก ช่วงโควิด-19 และการกลับมาในฐานะซูเปอร์สตาร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลกจากเวิลด์ทัวร์

ทุกการเปลี่ยนแปลงถูกวางกลยุทธ์ราวกับบริษัทที่แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเจาะตลาดใหม่โดยไม่ทิ้งตลาดเก่า ผลลัพธ์คือ เทเลอร์ สวิฟต์ กลายเป็นแบรนด์ที่ 'ไม่มีวันอิ่มตัว' เพราะเธอสามารถสร้างความสดใหม่ในทุกช่วงเวลา และดึงดูดแฟนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างต่อเนื่อง

อีกหนึ่งท่วงท่าที่น่าสนใจคือ The Easter Egg Economy ที่เปลี่ยนแฟนเพลงให้เป็นผู้เล่นเกมของแบรนด์ หากเปรียบแบรนด์ส่วนใหญ่ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลเพื่อสร้างกระแส แต่เธอกลับใช้เพียง 'คำใบ้' หรือ Easter Egg ที่ซ่อนอยู่ในทุกมิวสิกวิดีโอ ปกอัลบั้ม และโพสต์บนโซเชียล การตลาดของเธอไม่ใช่แค่การสื่อสาร แต่คือการ 'ออกแบบเกม' ที่ทำให้แฟนๆ กลายเป็นนักสืบ คอยไขปริศนาและสร้างบทสนทนาเองบนโลกออนไลน์ ผลลัพธ์คือสื่อ Earned Media มหาศาลที่เกิดขึ้นโดยแทบไม่ต้องลงทุน นี่คือ Gamification ในระดับที่เหนือกว่าการแจกแต้มสะสม แต่คือการเปลี่ยนคอนเทนต์ให้กลายเป็นประสบการณ์ที่แฟนอยากมีส่วนร่วม และอยากเล่าต่อ

 

ด้วยเหตุนี้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ จึงไม่ได้เป็นเพียงศิลปิน แต่คือแบรนด์ระดับไอคอนที่สร้างโมเดลธุรกิจใหม่ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิง เธอพิสูจน์ว่า Reinvention + Gamification = Brand Longevity และนี่คือเหตุผลที่ 'SwiftEconomy' ไม่ได้เป็นเพียงคำเปรียบเปรย แต่คือความจริงทางการตลาดที่ทุกธุรกิจสามารถเรียนรู้และต่อยอดได้

 

 

The Swifties Ecosystem...แฟนคลับของเทย์เลอร์ สวิฟต์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ 'Swifties' ไม่ใช่เพียงกลุ่มผู้สนับสนุน แต่คือ ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่ขับเคลื่อนทั้งเมืองและอุตสาหกรรมได้อย่างจับต้องได้ การทัวร์คอนเสิร์ต The Eras Tour ของเธอจึงไม่ใช่แค่การแสดงคอนเสิร์ตบนเวทีเท่านั้น แต่คืออีเวนต์ทางเศรษฐกิจเคลื่อนที่ ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับทุกธุรกิจในเมืองที่เธอไปเยือน ตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน ไปจนถึงธุรกิจท้องถิ่น จนธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ต้องยอมรับว่าทัวร์คอนเสิร์ตของเธอเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผลงานชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึง อิทธิพลทางเศรษฐกิจระดับศิลปินเพียงหยิบมือ ที่สามารถทำได้ในประวัติศาสตร์

Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ สร้างสถิติรายได้จากการขายบัตรสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยทำรายได้รวมประมาณ 2,080ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการจำหน่ายบัตรทั่วโลก นับเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล แทบเท่าตัวจากสถิติเดิมของทัวร์ Farewell Yellow Brick Road ของเอลตัน จอห์น และยังเหนือกว่าทัวร์ Music of the Spheres ของโคลด์เพลย์ ที่ทำรายได้ไปแล้ว 1,100ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทัวร์นี้จัดขึ้นทั้งหมด 149 ครั้งเต็มความจุในห้าทวีป มีผู้เข้าชมรวมกว่า 10 ล้านคน ราคาบัตรเฉลี่ยอยู่ที่ 204 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน นอกจากรายได้จากบัตรแล้ว ทัวร์ยังสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาลในเมืองที่จัดงาน โดยประมาณการว่ามีมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนต่างๆ ทั่วโลก ข้อมูลรายได้นี้ได้รับการยืนยันโดยบริษัทผู้ผลิตคอนเสิร์ตของเทย์เลอร์ สวิฟต์ และเปิดเผยครั้งแรกเมื่อสิ้นสุดทัวร์ในปลายปี 2024

Eras Tour เริ่มต้นในเดือนมีนาคม 2023 และใช้เวลาทั้งหมด 21 เดือน ครอบคลุม 21 ประเทศ ทัวร์นี้สามารถขายบัตรหมดเกลี้ยง เต็มความจุทั้งสนามกีฬาและอารีน่าทั่วโลก โดยมีผู้เข้าชมรวม 10,168,008 คน ราคาบัตรในตลาดรองบางครั้งพุ่งสูงกว่า 2,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับคอนเสิร์ตรอบสุดท้าย ขณะที่ราคาบัตรเฉลี่ยในตลาดหลักอยู่ที่ประมาณ 204 ดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ทัวร์นี้ยังสร้างรายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค การฉายภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้เกือบ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก และยังเสริมสร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้เทย์เลอร์ สวิฟต์ กลายเป็นนักร้องพันล้านโดยอิงจากรายได้จากงานเพลงและการแสดงคอนเสิร์ต

รายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายสินค้าและภาพยนตร์คอนเสิร์ต (การบันทึกและถ่ายทอดการแสดงสดลงในรูปแบบภาพยนตร์หรือวิดีโอ) เกือบ 261 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้เทย์เลอร์ สวิฟต์ สามารถลงทุนในสินทรัพย์สำคัญ เช่น การกลับมาครอบครองสิทธิ์มาสเตอร์เร็กคอร์ดเพลงยุคแรกของเธอ ซึ่งจะอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนในลำดับถัดไป ความสำเร็จอันล้นหลามนี้ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ทำให้ถูกเรียกขานเป็นปรากฏการณ์ Swiftonomics เพราะเธอพิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างสรรค์ดนตรีและทัวร์คอนเสิร์ตสามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลเกินกว่ามูลค่าความบันเทิงทั่วไป เพียงทัวร์คอนเสิร์ต Eras Tour ของเธอครั้งเดียวก็สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงราว 5,000ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการท่องเที่ยว การจ้างงาน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคกับโรงแรม ร้านอาหาร การเดินทาง และสินค้าแฟนคลับ

 

มีรายงานว่าแฟนคลับใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อการเข้าชมคอนเสิร์ตหนึ่งครั้ง รวมทั้งค่าเข้าสถานที่ ค่าเดินทาง โรงแรม และสินค้าแฟนคลับ การใช้จ่ายนี้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการโรงแรม ร้านค้า และการขนส่ง ส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีการหมุนเวียนเงินสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ตของเธอในฟิลาเดลเฟียและลอนดอนได้เห็นรายได้จากโรงแรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันทัวร์ของเธอสร้างความต้องการแรงงานอย่างมหาศาล โดยเฉพาะงานพาร์ทไทม์ บางเมืองพบว่าอัตราความต้องการแรงงานพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้นถึง 1,000% ใกล้กับสถานที่จัดคอนเสิร์ต ตัวอย่างเช่น Eras Tour ได้กระตุ้น GDP ของลอสแอนเจลิสเคาน์ตี (เขตลอสแอนเจลิส) เพิ่มขึ้นประมาณ 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างงานให้กับประชากรหลายพันคนในช่วงการแสดงที่ขายบัตรหมด

ผลกระทบนี้ถูกนำมาศึกษาเป็นกรณีตัวอย่างจริงเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทาน พฤติกรรมผู้บริโภค และตัวคูณทางเศรษฐกิจ (Economic multipliers) แสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมสามารถกลายเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจอันทรงพลังได้อย่างไร

แม้ Swiftonomics จะถูกพูดถึงมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่ผลกระทบของทัวร์ Eras Tour และการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจที่ลึกขึ้นยังคงเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การศึกษาอย่างจริงจัง การศึกษาละเอียดยิบเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจกลไกการสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจจากปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน

นอกเหนือจากการสร้างรายได้ในระดับมหภาค เทย์เลอร์ สวิฟต์ยังสร้างอาณาจักร Direct-to-Fan ที่สื่อสารตรงถึงผู้บริโภค เธอควบคุมทุกช่องทางสื่อสารของตัวเอง ทำให้สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ โปรโมตอัลบั้ม และสื่อสารข้อความสำคัญโดยไม่ต้องพึ่งสื่อกระแสหลัก ทำให้เธอควบคุมเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ และยกระดับความสัมพันธ์กับแฟนคลับจากผู้ฟังทั่วไปให้กลายเป็นผู้ร่วมสร้างกระแสและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

 

 

ความเฉียบคมของเธอไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น การตัดสินใจนำภาพยนตร์คอนเสิร์ต The Eras Tour เข้าฉายโดยตรงผ่านโรงภาพยนตร์ AMC แทนที่จะผ่านสตูดิโอฮอลลีวูดแบบดั้งเดิม ถือเป็นการปฏิวัติโมเดลธุรกิจที่อัจฉริยะ เพราะทำให้เธอได้รับส่วนแบ่งรายได้สูงขึ้นอย่างมหาศาล พร้อมประกาศศักดาให้โลกเห็นว่าเทย์เลอร์ สวิฟต์คือผู้กุมอำนาจในทุกกระบวนการจัดจำหน่ายผลงานของตัวเอง เธอจึงไม่ได้เป็นเพียงศิลปิน แต่เป็นผู้นำแห่ง ICONOMICSที่สร้างทั้งอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างไร้เทียมทาน

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ได้โดดเด่นเพียงแค่เสียงเพลงหรือเรื่องราวส่วนตัว แต่เพราะเธอคิดและบริหารแบรนด์ตัวเองแบบ CEO มองการณ์ไกลและไม่ปล่อยให้ใครควบคุมชะตากรรมของอาณาจักรที่เธอสร้างขึ้น การอัดเสียงอัลบั้มเก่าทั้งหกชุดใหม่เพื่อถือกรรมสิทธิ์ใน Master Recordings คือการทวงคืนสินทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์ใหม่ทางศิลปะ แต่คือการประกาศสงครามธุรกิจที่ใช้พลังแฟนคลับเป็นอาวุธ ลดมูลค่าของสินทรัพย์เดิมที่เธอไม่ได้เป็นเจ้าของ และสร้างสินทรัพย์ใหม่ที่ทรงคุณค่ากว่าขึ้นทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ การตัดสินใจครั้งนี้กลายเป็นกรณีศึกษาทางธุรกิจและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่จะถูกสอนไปอีกหลายสิบปี

ตลอดเส้นทางอาชีพ เทย์เลอร์ สวิฟต์ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเองอย่างเหนือชั้น เธอใช้ผลงานเพลงเป็นเครื่องมือในการตอบโต้สื่อหรือข้อขัดแย้งต่างๆ เช่น อัลบั้ม Reputation ที่เปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสทางการค้าและความสำเร็จทางศิลปะได้อย่างงดงาม นี่คือการสร้าง Brand Control ในระดับสูงสุดที่ศิลปินหลายคนยังมองไม่ถึง ความสามารถในการผสมผสานศิลปะที่แท้จริง ความเข้าใจแฟนคลับอย่างลึกซึ้ง และความเฉียบคมทางธุรกิจ ทำให้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่กลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เธอได้สร้างอาณาจักรที่เป็นทั้งตำนานทางดนตรีและปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างไม่อาจลบเลือน

 

ในเส้นทางอาชีพที่ผ่านมา เทย์เลอร์ สวิฟต์ เคยเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับหลายแบรนด์ชื่อดัง เช่น CoverGirl เครื่องสำอาง, Elizabeth Arden น้ำหอม, รองเท้าคีดส์ (Keds), Diet Coke, กางเกงยีนส์ L.E.I และ Apple Music โดยการสนับสนุนของเธอครอบคลุมหลายหมวดหมู่ทั้งเครื่องสำอาง แฟชั่น เครื่องดื่ม และเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2019 เธอยังรับหน้าที่ทูตแบรนด์ให้กับ Capital One และ Comcast ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 เทย์เลอร์ยังไม่มีบทบาททูตแบรนด์ใหญ่ๆ ใหม่ๆ นอกเหนือจากธุรกิจส่วนตัวและผลงานเพลงของเธอที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

 

เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ยกระดับคำว่า 'ศิลปิน' ไปสู่การเป็น 'มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม' เธอคือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของ ICONOMICS ที่แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานระหว่างศิลปะที่จริงแท้, ความเข้าใจในแฟนคลับอย่างลึกซึ้ง และความเฉียบคมในการตัดสินใจทางธุรกิจ สามารถสร้างอาณาจักรที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตำนานทางดนตรี แต่เป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

[อ่าน 65]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฝุ่นใยหิน ภัยเงียบที่สูดเข้าไป...รอวันคร่าชีวิต
เคล็ดลับใช้บัตรวีซ่าแพลทินัมให้คุ้มที่สุดในชีวิตประจำวัน
finbiz by ttb เปิด 6 เทรนด์ธุรกิจ SME ปี 2026 ก้าวสู่ยุคใหม่ของธุรกิจที่ฉลาด เขียว และเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
‘สิงห์ - เอส โคล่า’ 2 แบรนด์ 2 สไตล์ กับการสร้างแบรนด์ผ่าน ‘สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง’
ทีทีบี ฟินทิป แชร์ 12 วิธีออมเงินง่าย ได้ผลจริง
“คะแนนคือค่าเงินใหม่ของการเดินทาง : ใช้จ่ายทุกวัน = เที่ยวรอบโลก”
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved