
ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank เปิดเผยว่า ธนาคารกสิกรไทยมุ่งสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ การค้าข้ามพรมแดน ตลอดจนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการระบบจัดเก็บและกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูง ทันต่อความต้องการของลูกค้า
ล่าสุด ธนาคารให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่ กลุ่มบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย วงเงินกว่า 2,500 ล้านบาท เพื่อผลักดันการพัฒนาคลังสินค้า บนขนาดพื้นที่รวมกว่า 180,000 ตร.ม. ที่ไม่เพียงแต่จะอยู่บนทำเลศักยภาพที่เอื้อต่อการขยายตัวของธุรกิจต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นทำเลบางนา-ตราด แหลมฉบัง และอมตะ ชลบุรี
ศักยภาพของคลังสินค้าที่นอกจากจะออกแบบและใช้นวัตกรรมต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจที่แตกต่างแล้ว ยังรวมไปถึงการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ชุมชน และผู้คนไปพร้อมๆ กันขับเคลื่อนคลังสินค้าให้เป็นกลไกสำคัญที่มีประสิทธิภาพ สร้างระบบซัพพลายเชนที่ครบวงจรและยั่งยืน
ขัตติยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ธนาคารกสิกรไทยเล็งเห็นว่า คลังสินค้าไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่จัดเก็บสินค้า แต่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ ความร่วมมือระหว่าง SC Asset และธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ความร่วมมือทางด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งร่วมกัน ทั้งด้านเงินทุน นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตร รวมทั้งสร้างแนวคิดกลยุทธ์ที่องค์กรหรือประเทศใช้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ๆ หรือการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพสูงให้กับประเทศในระยะยาว
ด้าน ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า “ยุทธศาสตร์การเติบโตของ SC Asset ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง คือ การมีเครื่องยนต์แห่งการเติบโต หรือ Engine ที่หลากหลาย และ Engine 2 ของเราคืออสังหาฯ ที่สร้างรายได้ประจำ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโต เราตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีนี้ มากกว่า 20% ของกำไรสุทธิ จะมาจาก Engine 2 ได้แก่ ออฟฟิศ โรงแรม และคลังสินค้าให้เช่า ภายใต้บริษัท เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SCX Corporation)

“ปัจจุบันคลังสินค้าให้เช่าอยู่ในอุตสาหกรรมการขนส่ง (Logistics) ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2025 มีปริมาณความต้องการเช่ารวม 7.8 ล้านตารางเมตร อัตราการเช่าสูงถึง 90% และเติบโตโดยเฉลี่ย 7% ต่อปีตลอดสิบปีที่ผ่านมา เราวางโรดแมปลงทุนพัฒนาคลังสินค้ารวม 700,000 ตารางเมตร ภายในปี 2029 พร้อมสร้างคุณค่าให้ผู้เช่า ด้วยคลังสินค้าคุณภาพสูง ฟังก์ชันครบตอบโจทย์ลูกค้าที่หลากหลาย และมีทำเลสะดวกต่อการขนส่ง
“ขอขอบคุณ KBank ที่เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นี้ สนับสนุนวงเงินพัฒนาคลังสินค้ารวม 180,000 ตร.ม. ใน 4 ทำเลสำคัญ และความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยผลักดันการเติบโตของ SC Asset ในธุรกิจโลจิสติกส์ แต่ยังตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแข็งแกร่ง และบทบาทในฐานะพันธมิตรทางการเงินที่มีความสำคัญกับเราเสมอมา" ณัฐพงศ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกสิกรไทย และ เอสซี แอสเสท มีความร่วมมือที่ยาวนานกว่า 20 ปี โดยธนาคารกสิกรไทย ให้การสนับสนุน Pre-Finance สะสมกว่า 19,500 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ และวงเงินรองรับการดำเนินธุรกิจ
ทั้งนี้ SCX Logistics คลังสินค้าเพื่อเช่า ภายใต้การบริหารโดย SCX Corporation ยังคงมุ่งมั่นในการมองหาทำเลศักยภาพและขยายพอร์ตการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าที่วางไว้ โดย 4 ทำเลศักยภาพที่ได้รับการสนับสนุนวงเงินครั้งนี้ ได้แก่
1. SCX Logistics บางนา กม. 20 ติดถนนบางนาตราด กม.20 จังหวัดสมุทรปราการ บนที่ดินแปลงใหญ่ 90 ไร่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิและทางด่วน สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่กรุงเทพฯ และภูมิภาคตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว
2 .SCX Logistics บางนา กม. 23 คลังสินค้าและโรงงานมาตรฐานสูงแบบพร้อมใช้ให้เช่า (Ready-Built) ตั้งอยู่ในโซนอุตสาหกรรม (Purple Zone) ในทำเลศักยภาพย่านบางนา
3. SCX Logistics แหลมฉบัง คลังสินค้าที่ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 3009 มุ่งหน้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
4. SCX Logistics อมตะ ชลบุรี ตั้งอยู่บนนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี ออกแบบรองรับระบบอัตโนมัติ และเหมาะสำหรับบริษัทญี่ปุ่นและยุโรปที่มีฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมโดยรอบ

KBank และ SC Asset มีความร่วมมือยาวนานกว่า 20 ปี ทั้งด้าน Pre-Finance และ Post-Finance รวมถึงบริการทางการเงินสำหรับลูกค้าโครงการ ทำให้การขยายสู่ธุรกิจคลังสินค้าในครั้งนี้สามารถเดินหน้าได้อย่างแข็งแรงบนฐานความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่มั่นคง
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนภาพทั้งสององค์กรที่มองเห็น “ทิศทางอนาคตเดียวกัน” — คือ โลจิสติกส์เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล การจับมือกันจึงไม่ใช่เพียงการปล่อยกู้ แต่เป็นการลงทุนเชิงระบบเพื่อยกระดับขีดความสามารถของห่วงโซ่อุปทานไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว





