
แม้จะไม่มีความรู้ด้านธุรกิจเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยความมุ่งมั่น และมีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเปิดใจเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ทำให้ “แม่วรรณา พิมพันธุ์” อดีตครูคณิตศาสตร์ จาก จ.อุทัยธานี เจ้าของแบรนด์ “สิริวรรณา” ผ้าทอลายโบราณ ได้ค้นพบ “โอกาสใหม่” บนผ้าผืนเดิม โดยมี โครงการ “โรงเรียนผู้นำชุมชนประโยชน์สุข” ของเอสซีจี เป็นพี่เลี้ยงเข้าไปช่วยให้กลุ่มช่างทอผ้าเรียนรู้การตลาดและพัฒนาแบรนด์ สร้างจุดเปลี่ยนจากการทอผ้าผืนราคาแพงมาสู่การแก้ปัญหาสินค้าขายไม่ออก และเข้าถึงตลาดคนรุ่นใหม่มากขึ้น นำพาชุมชนปรับตัวฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจด้วยการปรับตัวเชิงธุรกิจ
ต่อยอดภูมิปัญญา ฟื้นผืนผ้า ด้วยพลังความรู้และหัวใจชุมชน
“คณิตศาสตร์” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการอนุรักษ์ลายผ้าทอของลาวครั่งและลาวเวียง เมื่อแม่วรรณานำองค์ความรู้ทางคณิตศาสตร์มาผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผ่านโครงการ “แกะลายผ้าทอโบราณอุทัยธานี” โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิกช่วยวิเคราะห์โครงสร้างลายผ้าโบราณที่มีความซับซ้อน เพื่อให้สามารถนำกลับมาทอใหม่ได้อย่างแม่นยำ

ถอดรหัสลายดอกพยอม ผ้าทอของลาวครั่งลาวเวียง ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก

ลายดอกแก้ว ผ้าทอของลาวครั่ง
ผลงานที่คว้ารางวัลระดับภาคและระดับประเทศ กลายเป็นแรงผลักสำคัญให้แม่วรรณามุ่งมั่นสืบสานงานลายผ้าอย่างจริงจัง เธอจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองบ้านห้วยรอบ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี ทำหน้าที่ทั้งผู้ทอผ้าและ วิทยากรถ่ายทอดความรู้ โดยนำหลักคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการ “เขียนกราฟลายมัดหมี่” ช่วยให้ช่างทอในชุมชนสามารถสร้างลายที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ แม่วรรณายังทำหน้าที่เป็น วิทยากรที่ “ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์” ศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรตาพระราชดำริของจังหวัดอุทัยธานี เพื่อสอนทักษะและองค์ความรู้ด้านผ้าแก่ผู้สนใจ อาชีพเสริม และผู้ที่ต้องการนำงานฝีมือไปต่อยอดสร้างรายได้ให้ครอบครัว
บทบาททั้งหมดนี้ทำให้ชุมชนได้ต่อยอดองค์ความรู้ สืบสานลายผ้าพื้นเมือง และทำให้ผ้าทอโบราณของอุทัยธานีกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งในมิติศิลปะ มรดกภูมิปัญญา และโอกาสสร้างรายได้ใหม่ๆ สำหรับคนในชุมชน
“จุดเริ่มต้นของการแกะรอยลายผ้าเกิดขึ้นในช่วงที่แม่วรรณายังรับราชการครู ต้องทำโครงงานคณิตศาสตร์ส่งเข้าประกวด และอยากนำบริบทของอุทัยธานีเข้ามาอยู่ในงาน จึงนึกถึงลายผ้าทอของชุมชนที่มีโครงสร้างเส้นยืน–เส้นพุ่งคล้ายกราฟ นำหลักคณิตศาสตร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยวิเคราะห์ ทำให้แกะลายผ้าได้รวดเร็วและแม่นยำขึ้น จากนั้นก็เก็บรวบรวมลายผ้าไว้ในคอมพิวเตอร์สะสมต่อเนื่อง กลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่ใช้สืบสานและต่อยอดลายผ้าของอุทัยธานีให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”

เปิดใจไม่หยุดเรียนรู้ พลิกวิกฤติเป็นโอกาส
ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ผ้าทอของอุทัยธานีมีราคาสูงมาก ผืนละ 20,000 – 30,000 บาท หรือบางผืนสูงถึงหลักแสนบาท ด้วยลายผ้าที่ซับซ้อนและมีคุณค่าสูงในเชิงศิลปะ ทำให้สินค้าเข้าถึงยาก เมื่อโควิดระบาดนักท่องเที่ยวหายไปอย่างสิ้นเชิง เศรษฐกิจตกต่ำ คนรุ่นใหม่ไม่ซื้อของแพง ชาวบ้านในกลุ่มทอผ้าเกิดปัญหาสินค้าขายไม่ออก “แม่วรรณา” เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยใช้เวลาว่างจากการสอนออนไลน์ไปเรียนรู้ทักษะการทอผ้าและการเก็บลายอย่างจริงจัง เกิดความหลงใหล พร้อมทั้งตั้งใจที่ยึดการทอผ้าเป็นอาชีพเสริมหลังเกษียณ
ด้วยมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางสายผ้าทอ และมีความตั้งใจช่วยแก้ปัญหาให้กับชุมช น หลังเกษียณอายุราชการ แม่วรรณาใช้เวลาทุ่มเทไปกับการเรียนรู้วิชาต่างๆ เช่น การทำผ้า Eco Printing เครื่องแขวนไทย เครื่องหอมไทย หวังนำผ้ามาต่อยอดทำเป็นสินค้า รวมถึงเข้าร่วมอบรมในโครงการ “โรงเรียนผู้นำชุมชนประโยชน์สุข” ของเอสซีจี เพราะมองว่าหากต้องการทำธุรกิจอย่างจริงจัง จะต้องมีเรียนให้รู้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่พาตัวเองรอด แต่ต้องพาชาวบ้านให้รอดไปด้วยกัน

ปรับโมเดลธุรกิจ จาก “ผ้าผืน” สู่สินค้าขายง่าย
ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แม่วรรณา ยอมรับความจริงว่า “ผ้าเป็นเมตรขายยาก” จึงปรับแนวคิดตามคำแนะนำที่ได้รับจากเอสซีจี โดยปรับโมเดลธุรกิจจากผู้ผลิต ‘ผ้า’ เป็นผู้ผลิต ‘สินค้า’ ที่ขายได้ง่ายขึ้น พร้อมนำความรู้เรื่องการต่อผ้าและการมัดย้อมมาประยุกต์ใช้ ซึ่งไม่เพียงช่วยชาวบ้านระบายสินค้าได้ แต่ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่ชื่นชอบงานคราฟท์ที่มีดีไซน์และราคาที่เข้าถึงได้
“เราเป็นครูไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจ มีแต่ความรู้ในการอนุรักษ์ลายผ้า ไปเรียนรอบแรกความคิดยังเหมือนเดิม ทอเหมือนเดิม พอรอบสองได้รับคำแนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นสินค้าที่ขายได้ง่าย ซึ่งตัดสินใจถูกมากที่เข้าร่วมโครงการประโยชน์สุข เพราะมีคนที่มีความรู้มาช่วยพาเราเดินไปทำธุรกิจเราเชื่อว่าถ้ามีคนนำทางเราจะไปรอด และพาชาวบ้านรอดไปด้วยขอบคุณที่ทำให้เราเกิดความคิดใหม่ๆในการสานต่องานทอผ้าไม่ใช่แค่นั่งทอผ้าเหมือนเดิม” แม่วรรณา กล่าว
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวของครูผู้มีหัวใจนักอนุรักษ์ “แม่วรรณา” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนชัดเจนของพลังท้องถิ่น ที่มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม พร้อมนำองค์ความรู้และแรงสนับสนุนจากโครงการ “โรงเรียนผู้นำชุมชนประโยชน์สุข” ของเอสซีจี ที่ได้เข้าไปเติมเต็ม ช่วยให้ก้าวข้ามกับดักของปัญหาจนค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน





