
หนึ่งในหน้าที่หลักของวิศวกรควบคุมคุณภาพ (QA/QC Engineer) คือการดูแลให้ทุกขั้นตอนในไซต์งานก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ “เสียง” และ “ฝุ่น” ซึ่งมักถูกมองข้ามแต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของแรงงานและชุมชนรอบข้าง การควบคุมค่าทั้งสองตัวนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบทางวิศวกรรมและจริยธรรมในงานก่อสร้าง
ค่ามาตรฐาน “เสียงรบกวน” จากไซต์งานก่อสร้าง
เกณฑ์เสียงภายนอกไซต์งานก่อสร้าง (รอบแนวรั้วหรือขอบเขตโครงการ) อ้างอิงจาก ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 15 พ.ศ. 2540 ซึ่งยังคงใช้บังคับในปัจจุบัน โดยกำหนดว่า
- ระดับเสียงเฉลี่ยตลอด 24 ชั่วโมง (Leq,24h) ต้อง ไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ (dBA)
- ระดับเสียงสูงสุด (Lmax) ในช่วงเวลาใด ๆ ต้อง ไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ (dBA)
สำหรับพื้นที่ใกล้แหล่งชุมชน โรงเรียน หรือโรงพยาบาล ควรควบคุมให้เสียงเฉลี่ยไม่เกิน 60 dBA เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น เครียด หูอื้อ หรือนอนไม่หลับ
แนวทางควบคุมเสียง:
- ตรวจวัดด้วย เครื่อง Sound Level Meter ที่ได้มาตรฐาน (A-weighted, Slow mode) บริเวณแนวรั้วไซต์งานก่อสร้าง
- ทำการตรวจวัดในช่วงเวลาที่มีการใช้งานเครื่องจักรหนัก เช่น การตอกเสาเข็ม การเทคอนกรีต
- จัดทำรายงาน Daily หรือ Weekly Environmental Report พร้อมแนวทางแก้ไข
- ใช้ ผนังกันเสียง (Noise Barrier) ชั่วคราว หรือวางแผนตารางงานให้เครื่องจักรเสียงดังทำงานในช่วงกลางวันเท่านั้น
2. ค่ามาตรฐาน “ฝุ่นละออง” ในอากาศรอบไซต์งานก่อสร้าง
ฝุ่นจากไซต์งานก่อสร้าง โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 และ PM10 เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพทางเดินหายใจของคนงานและชุมชน
ค่ามาตรฐานล่าสุด (อัปเดตปี 2025): อ้างอิงจาก ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 34 (ปรับปรุงปี 2566–2568)
- ฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้อง ไม่เกิน 37.5 µg/m³ (จากเดิม 50 µg/m³)
- ฝุ่น PM10 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้อง ไม่เกิน 100 µg/m³ (จากเดิม 120 µg/m³)
ค่าทั้งสองถูกปรับให้เข้มงวดขึ้นตามแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหัวใจจากฝุ่นขนาดเล็กที่เข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง
แนวทางควบคุมฝุ่น:
- ติดตั้ง ตาข่ายกันฝุ่น (Dust Net) รอบไซต์งานก่อสร้างและทำความสะอาดทางเดินรถทุกวัน
- ใช้ รถฉีดน้ำพ่นละออง (Mist Cannon) หรือสเปรย์ละอองน้ำระหว่างงานตัด เจาะ หรือขุดดิน
- คลุมวัสดุก่อสร้างขณะขนส่ง และติดตั้ง Wheel Wash System ล้างล้อรถก่อนออกนอกไซต์งานก่อสร้าง
- ตรวจวัดค่าฝุ่นด้วย Dust Monitor แบบ Real-Time แล้วเฉลี่ยเป็นค่า 24 ชั่วโมง เพื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐาน
- จัดทำแผน CEMP (Construction Environmental Management Plan) ระบุจุดเสี่ยง มาตรการควบคุม และแผนตอบสนองเมื่อค่าฝุ่นเกิน
3. เกณฑ์ “เสียงในสถานที่ทำงาน” เพื่อความปลอดภัยของแรงงาน
นอกจากเสียงรบกวนต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังต้องคำนึงถึง “เสียงที่คนงานได้รับ” ตามเกณฑ์ของ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (DLPW) ซึ่งกำหนดให้
- ระดับเสียงเฉลี่ยถ่วงเวลา 8 ชั่วโมง (TWA) ต้อง ไม่เกิน 85 dBA
หากเสียงเกินเกณฑ์ดังกล่าว นายจ้างต้องจัดมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน เช่น จัดหาอุปกรณ์ป้องกันเสียง (Earplug หรือ Earmuff) จัดโซนพื้นที่เสียงดัง หรือลดเวลาทำงานในพื้นที่นั้น ๆ รวมถึงตรวจสุขภาพการได้ยินประจำปีของพนักงาน
แนวทางเพิ่มเติม:
- ทำ Noise Mapping ระบุจุดที่มีเสียงสูง เช่น พื้นที่เจาะหินหรือใช้เครื่องตอกเสาเข็ม
- อบรมพนักงานเกี่ยวกับอันตรายจากเสียงและวิธีใช้ PPE
- บันทึกผลการตรวจเสียงในระบบ Safety Report เพื่อเป็นหลักฐานตามกฎหมาย

การควบคุม “เสียง” และ “ฝุ่น” ไม่ใช่แค่การทำตามข้อบังคับ แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าของงานกับความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อม วิศวกร QA/QC ที่เข้าใจตัวเลขเหล่านี้ จะสามารถออกแบบแผนควบคุมที่มีประสิทธิภาพ วัดผลได้จริง และสร้างความไว้วางใจจากทั้งผู้ว่าจ้าง หน่วยงานรัฐ และประชาชนรอบข้าง
[อ่าน 44]