

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป:
ในปี 2568 ซีคอนยังคงมียอดจองสร้างบ้านเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ:
จากกระแสตอบรับที่ดี ซีคอนจึงเดินหน้าบุกตลาด EEC เต็มที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 โดยเน้นบริการออนไลน์และการปรับดีไซน์ให้เข้ากับวิถีชีวิตในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ซีคอนตั้งเป้าหมายนำบริการก่อสร้างที่มีระบบควบคุมคุณภาพและบริการครบวงจร เข้าไปสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ EEC เพื่อยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยและมาตรฐานการก่อสร้างในภาคตะวันออกในระยะยาว
ซีคอนยังได้เปิดเกมการตลาดใหม่ผ่านแคมเปญ SEACON Affiliate “Everyone Can Sell” เพื่อให้คนไทยหลากหลายอาชีพสามารถสร้างรายได้เสริมได้ง่าย ๆ จากการแนะนำลูกค้ามาสร้างบ้านกับบริษัทฯ โดยให้ค่าตอบแทนสูงสุด 5,000 บาทต่อล้านบาท (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) พร้อมระบบติดตามผลที่ใช้งานง่ายผ่าน Line Official

ในด้านต้นทุน ซีคอนตระหนักถึงแรงกดดันจากราคาวัสดุบางประเภทที่ปรับขึ้น รวมถึงค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทในช่วงกลางปี 2568 และค่าจ้างช่างฝีมือในเขตเมืองใหญ่ที่มีอัตราสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่มีระบบบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีงานก่อสร้างและระบบโครงสร้างสำเร็จรูป (พรีคาสท์)
นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้านโยบายด้านความยั่งยืนผ่านแนวคิด Green Construction โดยให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน การลดเศษวัสดุในไซต์งานด้วยระบบพรีคาสท์ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่มองหาบ้านที่คำนึงถึงสุขภาพ พลังงาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
นายมนูสรุปว่า แนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วง 1-2 ปีข้างหน้ายังมีพลังจากความต้องการบ้านคุณภาพของผู้บริโภคหลายกลุ่ม ตั้งแต่คนวัยทำงานไปจนถึงกลุ่มที่ต้องการบ้านผสมสำนักงาน ทิศทางของผู้บริโภคกำลังก้าวสู่ยุคที่บ้านต้องตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน คุณภาพชีวิต และความยั่งยืน ซึ่งซีคอนพร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้ธุรกิจรับสร้างบ้านไทยด้วยนวัตกรรมและบริการที่เชื่อถือได้





