ภาวะการเงินไทยยังตึง แม้ กนง. ลดดอกเบี้ย
29 Nov 2019

ภาวะการเงินไทยในไตรมาส 3 ของปี 2019 ยังคงอยู่ในระดับที่ตึงตัวกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แม้ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนสิงหาคม เนื่องจาก ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าCorporate spread ปรับสูงขึ้น การระดมทุนของภาคเอกชนและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงในไตรมาส 3

     ด้วยตัวแปรทางการเงินส่วนใหญ่ที่ยังคงปรับตึงตัว การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2019 (เดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน) อาจไม่สามารถช่วยให้ภาวะการเงินไทยผ่อนคลายลงได้เท่ากับการลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปี 2015 ที่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาคล้ายคลึงกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน (การส่งออกและอุปสงค์ในประเทศภาคเอกชนชะลอลง)

     ในระยะต่อไป หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะฝั่งอุปสงค์ในประเทศยังไม่ชัดเจน ประกอบกับภาวะการเงินไทยที่ยังคงตึงตัว อีไอซีเชื่อว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินและนโยบายการคลังเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะยังมีต่อไปแต่กนง.อาจไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้มากเพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพ ระบบการเงินได้

     อีไอซี ยังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ในช่วงที่เหลือของปี แต่คาดว่ามีโอกาสสูงขึ้น (40%) ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง ภายในไตรมาสแรกของปี 2020

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาวะการเงินไทยไตรมาส 3 ปี 2019

ภาวะการเงินไทยในไตรมาส 3 ของปี 2019 ยังคงอยู่ในระดับที่ตึงตัวกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แม้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนสิงหาคม[1]  ดัชนีภาวะการเงินไทยโดยรวมในไตรมาส 3 ปรับตึงตัวขึ้นมาอยู่ที่ -1.33 (รูปที่ 1) ซึ่งยังคงเป็นระดับที่ตึงตัวกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2002-2019 (สะท้อนจากตัวเลขดัชนีภาวะการเงินที่ติดลบ) โดยอีไอซีพบว่า ภาวะการเงินที่กลับตึงตัวขึ้นเป็นผลจาก

  • ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง โดยถึงแม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนสิงหาคมจะไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่ก็ไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้อย่างมีนัย เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดไทยยังคงเกินดุลในระดับสูง และธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ต่างก็ผ่อนคลายนโยบายลงเช่นกัน ซึ่งหลังการลดดอกเบี้ยนโยบายเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 30.8-30.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าอีกต่อเนื่องในสัปดาห์ต่อมา ส่วนเงินบาทเทียบสกุลเงินคู่ค้าคู่แข่งปรับแข็งค่าขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ปรับแข็งค่าขึ้น 1.31% จากสิ้นเดือนก่อน และเป็นการแข็งค่าขึ้นถึง 6.84% นับจากต้นปี ดังนั้นการลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือนสิงหาคมจึงยังไม่สามารถช่วยผ่อนคลายแรงกดดันด้านค่าเงินนัก
  • ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนหุ้นกู้และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (corporate spread) ปรับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากความเสี่ยงของทั้งในและนอกประเทศที่ปรับสูงขึ้นในเดือนสิงหาคม ทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (default risk) ของผู้ออกพันธบัตรที่ปรับสูงขึ้นมา ซึ่ง corporate spread ที่สูงขึ้นนี้ทำให้ต้นทุนการระดมทุนของภาคธุรกิจผ่านการออกหุ้นกู้ (corporate yields) ปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ภาวะการเงินในมิตินี้จึงปรับตึงตัวมากขึ้น
  • การระดมทุน (new issuance) ของภาคเอกชนผ่าน capital market ในไตรมาส 3 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน โดยอีไอซีพบว่า เป็นผลจากปริมาณการออกหุ้นกู้ที่ลดลงในทุกกลุ่มอายุ (รูปที่ 2) ทั้งนี้จุดที่น่าสังเกตเกี่ยวกับการออกหุ้นกู้คือ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาภาคเอกชนหันมาระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ระยะยาว (อายุมากกว่า 1 ปี) มากขึ้น และลดการออกหุ้นกู้ระยะสั้น (อายุต่ำกว่า 1 ปี) ซึ่งอีไอซีมองว่า เป็นผลจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วงที่ผ่านมาทำให้ภาคธุรกิจหันมาระดมทุนในระยะยาว (lock-in low rate) มากขึ้น ขณะที่นักลงทุนก็มีพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search-for-yield) จึงทำให้มีความต้องการถือพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นเช่นกัน สำหรับปริมาณการระดมทุนผ่านการออกตราสารทุนนั้นยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
  • สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง 3.8% YOY ชะลอลงจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 4.2% YOY โดยพบว่าสินเชื่อธุรกิจ SME หดตัวลง 1% YOY ในไตรมาส 3 ซึ่งการชะลอลงของสินเชื่อส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวชะลอลงและเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หนี้เสีย (NPL) ของระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SME ที่สัดส่วนหนี้เสียปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับNPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคนั้นก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งมาจากสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ ธนาคารพาณิชย์จึงเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในระยะต่อไป
  • ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมามีความตึงเครียดและไม่แน่นอนสูง ประกอบกับความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลงกว่าคาด และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับลดลง จึงทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดต่ำลง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นในตลาดเงินโลกก็ปรับแย่ลงเช่นกัน สะท้อนจากดัชนีความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (VIX) ที่อยู่ในระดับสูง ณ สิ้นไตรมาส 3 จึงส่งผลต่อแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และไทย โดยพบว่าในช่วงดังกล่าวมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดเงินไทยสุทธิ ทั้งในตลาดพันธบัตรรัฐบาลและตลาดหุ้นไทย
  • อย่างไรก็ดี การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ทำให้ภาวะการเงินไทยผ่อนคลายขึ้นได้บางส่วนผ่านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับลดลง โดยการปรับลดลงของพันธบัตรระยะสั้นนั้นส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายและคาดการณ์การดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายลงในระยะต่อไป ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวได้รับอานิสงส์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (อายุ 10 ปี) ที่ปรับลดลงตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้นและสงครามการค้าที่ยังไม่มีท่าทีทุเลาลงในขณะนั้น (ณ สิ้นไตรมาส 3) จึงทำให้มีความต้องการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับลดลง จึงช่วยให้ต้นทุนการระดมทุนของภาคเอกชนผ่านการออกตราสารหนี้ (corporate yield) ไม่ปรับสูงขึ้นมากนักในภาวะที่ corporate spread ปรับสูงขึ้น

 

 ด้วยตัวแปรทางการเงินส่วนใหญ่ที่ยังคงปรับตึงตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2019 ทำให้แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง (เดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน) แต่ภาวะการเงินอาจไม่ได้ผ่อนคลายลงมากนัก

  • ตัวแปรทางการเงินส่วนใหญ่ (ไม่รวมอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ยังคงปรับตึงตัวหลัง กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยตัวแปรทางการเงินอื่น ๆ ที่อีไอซีวิเคราะห์ว่ามีผลต่อภาวะการเงิน ได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย corporate spread การระดมทุนภาคเอกชน ดัชนีค่าเงินบาท ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย การขยายตัวของสินเชื่อ รวมถึงความผันผวนของตลาดเงินโลก ซึ่งเมื่อพิจารณา
    ตัวแปรเหล่านี้ในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงพฤศจิกายนจะพบว่า การเคลื่อนไหวของตัวแปรเหล่านั้นยังทำให้ดัชนีภาวะการเงินตึงตัว เช่น ดัชนีค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นราว 3% corporate spread ยังคงปรับสูงขึ้นราว 12bps ผลตอบแทนจากตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงราว 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ สัดส่วนNPL ต่อสินเชื่อยังคงเพิ่มขึ้น (จาก 2.95% ในไตรมาส 2 เป็น 3.01% ในไตรมาส 3) ทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น สินเชื่อจึงขยายตัวชะลอลง (จาก 4.2% ในไตรมาส 2 เป็น 3.8% ในไตรมาส 3) (ตารางที่ 1)
  • ด้วยตัวแปรทางการเงินอื่น ๆ ที่ยังปรับตึงตัวกว่าในช่วงปี 2015 การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2019 (เดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน) อาจไม่สามารถช่วยให้ภาวะการเงินไทยผ่อนคลายลงได้เท่ากับการลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปี 2015 เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น อีไอซี ได้เปรียบเทียบภาวะการเงินในช่วงครึ่งหลังปี 2019 กับช่วงครึ่งแรกของปี 2015 โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2015 มีภาวะที่คล้ายกับในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 กล่าวคือ ภาคการส่งออกมีการหดตัวและอุปสงค์ในประเทศ (การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน) ชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำ[2] นอกจากนี้ ในช่วงดังกล่าว กนง. ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง (รวม 50 bps โดยเป็นการการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งติดต่อกันในการประชุมเดือนมีนาคมและเมษายน) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่เท่ากัน แต่พบว่า ในปี 2015 ตัวแปรทางการเงินอื่น ๆ ผ่อนคลายมากกว่า รวมถึงการส่งผ่านนโยบายการเงิน (policy transmission) มีประสิทธิภาพที่ดีกว่า ทำให้ภาวะการเงินในช่วงดังกล่าวผ่อนคลายลงมากกว่าในปี 2019 โดยในระยะเวลา 3 เดือนหลังจากที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในเดือนมีนาคมปี 2015 นั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้น (อายุ 1 ปี) ปรับลดลงราว 50bps ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 3% ยอดคงค้างสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวสูงขึ้นราว 1.4% และภาคธุรกิจสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้มากขึ้น (รายละเอียดใน ตารางที่ 1)

ในระยะต่อไป หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะฝั่งอุปสงค์ในประเทศยังไม่ชัดเจน ประกอบกับภาวะการเงินไทยที่ยังคงตึงตัว อีไอซีเชื่อว่า การผ่อนคลายนโยบายการเงินและนโยบายการคลังเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะยังมีต่อไป

  • โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 นโยบายการเงินและการคลังได้ถูกผ่อนคลายลงอย่างต่อเนื่อง ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ด้วยผลกระทบของสงครามการค้าที่ขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น (ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก การจ้างงานภาคอุตสาหกรรม และการฟื้นตัวของรายได้นอกภาคเกษตร) รวมถึงผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และยอดขายรถยนต์ในประเทศ ทำให้อุปสงค์ในประเทศของภาคเอกชนยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
  • อีไอซียังคงมุมมองอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ในช่วงที่เหลือของปี และคาดว่ามีโอกาสสูงขึ้น (40%) ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้งภายในไตรมาสแรกของปี 2020 แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ แต่ กนง. ได้สื่อสารผ่านทั้งรายงานผลการประชุมและการแถลงข่าวว่า คณะกรรมการจะยังคงดำเนินนโยบายโดยพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ (data dependent) และการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมก็ยังสามารถทำได้หากเศรษฐกิจยังคงชะลอลงต่อเนื่อง ซึ่งอีไอซีเชื่อว่า ภาวะการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการจ้างงานและรายได้ทั้งในและนอกภาคเกษตรในระยะต่อไป จะเป็นตัวเลขที่มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของ กนง. โดยอีไอซีมองว่า ในระยะถัดไปตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ และเมื่อประกอบกับภาวะการเงินไทยในปัจจุบันที่ยังคงตึงตัวกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตดังที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้มีโอกาสสูงขึ้นที่ กนง. อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้ (โอกาสลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 1Q19 อยู่ที่ 40%)
  • ทั้งนี้อีไอซีมองว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทำได้อย่างมากอีกเพียง 1 ครั้ง (25 bps) เนื่องจาก ระดับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปจะส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ (unintended consequence) ต่อระบบการเงิน กล่าวคือ 1) อาจทำให้ครัวเรือนและนักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร จนนำไปสู่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน และ 2) อาจทำให้ครัวเรือนลดการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มการออมมากขึ้นในเวลาที่รายได้จากอัตราดอกเบี้ยลดลง ดังนั้นผลของการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมีน้อยลงในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินอยู่ในระดับต่ำมาก
  • สำหรับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท ธปท. ได้ปรับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนเงินตราให้ผ่อนคลายลงในเดือนพฤศจิกายน 2019 (รายละเอียดมาตรการ สามารถดูเพิ่มเติมได้ใน EIC Flash กนง. เดือนพฤศจิกายน) โดยอีไอซีมองว่า แม้ผลของมาตรการดังกล่าวจะยังมีจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากผู้ประกอบการอาจต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่มาตรการจะมีส่วนช่วยลดแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2020 ได้  ซึ่งอาจช่วยให้ภาวะการเงินในมิตินี้ผ่อนคลายลงต่อไป
  • การผ่อนคลายนโยบายการเงินสามารถทำเพิ่มเติมได้อีกผ่านเครื่องมืออื่น ๆ โดยตัวอย่างของเครื่องมือนโยบายการเงิน ได้แก่ มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน และมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (macro- and micro-prudential measures) เช่น มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และ การผ่อนปรนความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
  • สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการคลัง  อีไอซียังเชื่อว่ารูปแบบของมาตรการน่าจะยังคล้ายกับมาตรการที่เคยทำมาก่อนหน้า เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loans) และเงินอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม รวมถึงมาตรการที่ช่วยค้ำประกันสินเชื่อ (credit guarantee scheme) ซึ่งน่าจะเป็นการเน้นประคับประคองกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก

 

วิเคราะห์โดย

ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ  หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจและตลาดเงิน, / วชิรวัฒน์ บานชื่น นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส / พงศกร ศรีสกาวกุล ตำแหน่ง นักวิเคราะห์ SCBEIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน

 

[อ่าน 2,053]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
CEO กสิกรไทย ได้รับเลือกจาก Fortune เป็นผู้นำหญิงทรงอิทธิพลแห่งเอเชีย 2 ปีซ้อน และเป็นผู้นำหญิงที่ทรงอิทธิพลสูงสุดอันดับ 1 ของไทย
ทรูชวน “ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” จับมือพันธมิตรขยายเส้นทางรับ E-Waste แลกรับสิทธิพิเศษ 8 แบรนด์ดัง
FWD ประกันชีวิต สร้างโอกาสการศึกษา ลดเหลื่อมล้ำ สานอนาคตเยาวชนผ่านศูนย์ฝึกพิมาลี
EVEANDBOY จัดใหญ่เปิดสาขาใหม่ ศูนย์การค้าจังซีลอน ป่าตอง ภูเก็ต
พรูเด็นเชียล ประเทศไทย เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา “The Unseen Expert, Unwavering Love”
เตรียมเปิดตัว!! HONOR X7d Series ถึก ทน คุ้ม พร้อมฟีเจอร์ AI ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved