ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศไทยและอันดับ 75 ของโลก จากการจัดอันดับของ นิตยสารฟอร์บ ปี 2020 ส่งจดหมายตอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงข้อเสนอแนะเชิงยุทธศาสตร์โดยสรุปที่น่าสนใจ ดังนี้
" รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ สนับสนุน เร่งกระตุ้นภาคเอกชนให้ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันได้ ภายใต้ “สภาวะปกติใหม่” (The New Normal) ที่จะมีรูปแบบความต้องการสินค้าและบริการและการตอบสนองเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วหลังปัญหาโควิด-19 ยุติลง ... การระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่เพียงทำให้การดำรงชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนภาพเศรษฐกิจและธุรกิจในเกือบทุกด้าน รวมถึงจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ส่งผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่รวดเร็วขึ้น...ภาครัฐควรเปลี่ยนวิกฤติมาเป็นโอกาสด้วยการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1: ควบคุม ป้องกันและรักษา โดยการจัดทำฐานข้อมูลดิจิทัล ของประชากรทุกคน และทุกนิติบุคคลในประเทศ เพื่อให้การบริหารเหตุการณ์ มีข้อมูลในทุกมิติ อาทิ สุขภาพ การเงิน การหาความรู้ การจ้างงาน ภายใต้การดูแลเรื่องความปลอดภัยข้อมูล และมีข้อมูลสนับสนุนความช่วยเหลือที่ครอบคลุมคนไทยทุกกลุ่ม ภายใต้ความปลอดภัยข้อมูลและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ... ตลอดจนการจัดทำระบบแสดงผลตามพื้นที่ Heat Map และระบบการบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือที่โปร่งใส Digital Donation Platform เพื่อเป็นศูนย์กลางการบริจาคสนับสนุนทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งมีการรวบรวมความต้องการการช่วยเหลือของโรงพยาบาลต่างๆ ไว้ในที่เดียว
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ความต่อเนื่องของธุรกิจ ... รัฐบาลควรเร่งปลดล็อคอุปสรรคในการทำธุรกิจ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ต่อเนื่อง อาทิ การแก้กม.เพื่อรองรับ การจัดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Gov), Digital ID ที่จะเชื่อมต่อการยืนยันตัวตนจากทุกภาคส่วนเข้ามาไว้ด้วยกัน, ระบบยืนยันตัวตนออนไลน์ (Online KYC), การลงนามอิเลคโทรนิกส์ (e-Signature), การทำสัญญาออนไลน์ (Smart Contract) เพื่อทดแทนการใช้กระดาษ .. และควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสทำให้เกิดขึ้นได้ รวมทั้งการใช้ระบบสื่อสารและโซลูชั่นที่รองรับการทำงานได้จากทุกที่ The New Normal ของการทำธุรกิจและการกลับมาเปิดตัวใหม่อีกครั้งของธุรกิจต่างๆ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การจ้างงานและพัฒนาคน รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้เป็นการเตรียมคนเพื่ออนาคต... หากรัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานชั่วคราวให้กับนักศึกษาจบใหม่ที่ไม่มีงานทำในระยะนี้มาเป็นส่วนเสริมในการเปลี่ยนแปลงประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การสร้างผู้ช่วยด้านดิจิทัลให้กับผู้อำนวยการโรงเรียนทั่วประเทศ หรือนำกลุ่มเด็กจบใหม่ที่มีความสามารถด้าน ICT ไปช่วยพัฒนาการศึกษาออนไลน์ ยุทธศาสตร์นี้เน้นการสร้างความรู้ทางดิจิทัล และสมรรถนะทางเทคโนโลยีให้กับประชากรผ่านโครงการ Future Skilling เพื่อยกระดับทักษะของคนไทยทั้งประเทศ ... ในกลุ่มคนว่างงาน หากภาครัฐให้เงินสนับสนุนเพื่อการเรียนรู้งานแห่งอนาคต รวมทั้งการจัดทำแพลตฟอร์มในการหางาน และบริษัทที่ต้องการจ้างงานที่ใช้ Skill ใหม่ และเสนอให้รัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 80% เพื่อรักษาสถานภาพพนักงานที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก พร้อมกับ Re-Skill พนักงาน โดยไม่ปลดออก แต่ต้องสร้างทักษะใหม่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 : ความมั่นใจในตลาดทุน รัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน ตลาดการค้า และการลงทุน เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ธุรกิจ ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง อาทิ เช่น สตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่อาจขาดสภาพคล่องในการระดมทุน และ มีการจัดตั้งและกระตุ้นกองทุนต่างๆ ให้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เพื่อสนับสนุนรายได้ที่ขาดช่วง การขาดกระแสเงินสด และการรักษาพนักงาน ทั้งนี้ เนื่องจากในภาวะวิกฤติเช่นปัจจุบันการระดมทุนเต็มไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพที่ดี และมีอนาคต แต่ประสบปัญหาการขาดกระแสเงินสดเป็นต้น
ยุทธศาสตร์ที่ 5 : เศรษฐกิจใหม่ หรือ Economic Reform นอกจากการวางแผนระยะสั้นแล้ว ควรลงทุนเพื่ออนาคต เตรียมรองรับเศรษฐกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤติ ได้แก่ เกษตรกรอัจฉริยะ และ การทำ e-Commerce รวมถึงการวางแผนพื้นที่การเพาะปลูก การพัฒนาระบบชลประทานให้พื้นที่การเกษตรเข้าถึงน้ำ 100% การป้องกันน้ำท่วมนอกจากนี้ยังมีเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่จะดึงดูดบุคลากร ผู้มีความรู้ และนักลงทุนชั้นนำจากทั่วโลก การออกแบบเมืองที่มีความปลอดภัยปลอดเชื้อ การป้องกันด้านสาธารณสุข (Preventive Healthcare) การท่องเที่ยวแนวใหม่ที่เน้นสุขภาพ จนถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เป็นต้น