อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งเป้าลด 'คาร์บอนฟุตพรินท์'
10 May 2021

 

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับระดับโลกรวมตัวกันทั้งห่วงโซ่อุปทานเดินหน้าจัดหนักกับยุทธศาสตร์รักษ์โลกเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งมีการปรับกระบวนการผลิต มาใช้พลังงานทดแทน จนถึงการปรับใช้เครื่องประดับ Reuse - Recycle เครื่องประดับเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินท์

 

 

มลพิษทางอากาศ - คาร์บอนฟุตพรินท์

แม้ปี 2020 อุตสาหกรรมทั่วโลกจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณราว 2.4 ล้านตัน ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2019 โดยนับเป็นอัตราการลดลงมากที่สุด อันเนื่องจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 แต่ในปีนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Exeter และโครงการ Global Carbon จากมหาวิทยาลัย East Anglia ประมินว่า เทรนด์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกจะเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ แม้จะมีการกระตุ้นจากภาครัฐ ให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด และนโยบายการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจก็ตาม

 

 

ทั้งนี้ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกถึง 73.2% มาจากการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม, การคมนาคมขนส่ง, ภาคธุรกิจและอาคารที่อยู่อาศัย รองลงมา 18.4% มาจากภาคการเกษตร, ป่าไม้ และการใช้ที่ดิน ขณะที่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ถือเป็นอีกหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทาน นับแต่แหล่งผลิตวัตถุดิบจนถึงการขนส่งสินค้าเครื่องประดับถึงมือผู้บริโภค

โดยวงจรการผลิตที่ทำให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินท์สูงๆ ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการทำเหมืองแร่อัญมณีและโลหะมีค่า โดยขั้นตอนการทำพื้นที่ให้โล่งและการทำเหมืองนั้นได้สร้างคาร์บอนฟุตพรินท์คิดเป็น 95% ของทั้งหมดส่วนกระบวนการผลิตเครื่องประดับเป็นชิ้นงานนั้นสร้างคาร์บอนฟุตพรินท์เพียง 5% เท่านั้น นอกจากนี้ จากตารางจะเห็นได้ว่า คาร์บอนฟุตพรินท์ของเครื่องประดับก็ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ โดยเงินเป็นโลหะมีค่าที่มีคาร์บอนฟุตพรินท์ต่ำที่สุด


 

 พลิกบท 'ลดคาร์บอน'

ปัจจุบันหลายบริษัทและองค์กรต่างๆ ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ต่างก็ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น โดยการปรับกระบวนการผลิตและหันมาใช้พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ อาทิเช่น Natural Diamond Council (NDC) ซึ่งได้ทำวิจัยเรื่อง 'ผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองเพชรขนาดใหญ่' โดยศึกษาถึงประโยชน์และผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน, ท้องถิ่น, ลูกจ้าง และสภาพแวดล้อม อันเกิดจากการทำเหมืองแร่ของสมาชิก (ประกอบด้วย 7 บริษัทผู้ผลิตเพชรรายใหญ่ของโลก ได้แก่ ALROSA, De Beers Group, Dominion Diamond Mines, Lucara Diamond Corp., Murowa Diamonds, Petra Diamonds และ Rio Tinto) ซึ่งมีปริมาณการผลิตเพชรรวมกันกว่า 75% ของการผลิตเพชรทั่วโลก และมีการจ้างงานกว่า 7.7 หมื่นคนทั่วโลก ทั้งนี้ผู้ผลิตเพชรแต่ละราย ได้ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอน ออกสู่บรรยากาศจากการทำเหมืองเพชร โดยเริ่มจากการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานไฟฟ้า, เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนทดแทน และศึกษาโครงการวิจัยในการดักจับ และเก็บก๊าซคาร์บอน เพื่อที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

ในทางปฏิบัติ กล่าวได้ว่า Cartier ผู้ผลิตเครื่องประดับชื่อดังรุดหน้ากว่าหลายบริษัท โดยได้ชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์มาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว นอกจากนี้ ก็มีบริษัทระดับโลกอื่นๆ ที่มุ่งเป้าตามไทม์ไลน์ที่แตกต่างกัน อาทิ Pandora ตั้งเป้าชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2025 โดยการนำเศษวัตถุดิบ เช่น เงิน, ทองคำ, แก้ว, ยาง และยิปซัมมารีไซเคิล,ใช้แต่พลังงานหมุนเวียน,ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแหล่งผลิตที่ใส่ใจความยั่งยืน, Tiffany & Co. ตั้งเป้าชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050

โดยได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง15%ในปี 2020 แล้ว ขณะ ที่ Louis Vuitton, Bulgari, Celine, Fendi และอีก 24 แบรนด์ชั้นนำ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% ในปี 2020, De Beers ตั้งเป้าชดเชยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2030 พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองระบุแหล่งที่มาของเพชรทุกเม็ด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำเหมืองอย่างยั่งยืน และลดคาร์บอนฟุตพรินท์ทางสิ่งแวดล้อม ยกเลิกการใช้พลังงานไฟฟ้าจากฟอสซิลเกือบทั้งหมด และสร้างโรงไฟฟ้าพลังลมและพลังแสงอาทิตย์มาทดแทน พร้อมกับชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอน ด้วยโครงการ CarbonVault™ ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติในการดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมากจากชั้นบรรยากาศของหินคิมเบอร์ไลต์

ซึ่งเป็นหินที่สามารถพบเพชรอยู่ภายในได้ เพื่อให้เกิดการทำเหมืองเพชรอย่างยั่งยืน กับร่วมมือกับ 9 บริษัทผู้ผลิตเพชร (D Navinchandra Gems, Dianco, Diamant Impex, Diarush, HVK International, Hari Darshan, H Dipak and Co, Yaelstar และ StarRays) เพื่อเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตในธุรกิจกลางน้ำให้เป็นห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและถูกต้อง โดยจะพัฒนาแผนการที่เป็นรูปธรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

 

 

รักษ์โลก ด้วย Recycle & Reuse

การลดคาร์บอนฟุตพรินท์ในฝั่งของผู้ขายและผู้บริโภคนั้น ทำได้ผ่านการลดปริมาณการซื้อเครื่องประดับที่ผลิตขึ้นใหม่ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนฟุตพรินท์ และการรีไซเคิลเครื่องประดับที่มีอยู่เดิม หรือการซื้อเครื่องประดับที่ผลิตจากโลหะมีค่าไม่ว่าจะเป็นทองคำ เงิน และแพลทินัมที่ผ่านการรีไซเคิล หรืออัญมณีที่นำกลับมาใช้ใหม่ ก็ล้วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมาก  (ดูตารางที่ 2)

ทั้งนี้ การซื้อเครื่องประดับใช้แล้วถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแส Slow Fashionในกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งเล็งเห็นคุณค่าของเครื่องประดับที่มีอยู่เดิมและหลีกเลี่ยงสินค้าแบบ Fast Fashion ซึ่งมักมีคุณภาพต่ำ อายุการใช้งานสั้น และอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

 

จากกระแสโลกที่เน้นความยั่งยืนทางสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส และมีจริยธรรมทางการค้าแล้ว ความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญต่อกระแสรักษ์โลกดังกล่าว โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับกระบวนการผลิต และการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน และเพื่อลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ อันจะเป็นการสร้างกระบวนการดำเนินงานที่ยั่งยืน รวมทั้งยังช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกในระยะยาวอีกด้วย

 


ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 

>>> https://infocenter.git.or.th <<<

[อ่าน 4,049]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จักกับ “Jack Wey” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ GWM WEY
AssetWise ยกระดับเมืองน่าอยู่ จัดประกวดออกแบบ “สุขา สุขี: THE HAPPY TOILET PROJECT”
Trip.com จับมือโรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ เปิดประสบการณ์อาหารระดับโลก
เกาหลีรุก! ปล่อยหมัดเด็ด “Hyundai Deal SEOUL Good” กับข้อเสนอ Motor Expo 2025
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ กวาดรางวัลต่อเนื่อง ติดอันดับ 60 โรงแรมยอดเยี่ยมของโลก
เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ พลิกโฉมแอป GEN 365 ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านประกันชีวิตครบวงจร
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved