ธุรกิจคลินิกความงาม ที่อยู่เบื้องหลังเส้นทาง Younger & Beauty More นั้น เป็นธุรกิจที่คาบเกี่ยวระหว่าง 'ความสวยงาม' กับ 'บริบททางการแพทย์' ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด หรือไม่ผ่าตัดก็ตาม ดังนั้น ธุรกิจคลินิกความงาม จึงต้องมีการดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ของกรมสนับสนุนการบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานเลขาธิการแพทยสภา ด้วยว่า คลินิกความงามที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ควรเป็นการให้บริการที่มาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ
ดังนั้นในกระบวนหลังบ้าน เพื่อวางกลยุทธ์การตลาด หรือแม้แต่กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดของธุรกิจคลินิกความงาม จำเป็นต้องเป็นนักยุทธศาสตร์แบรนด์ที่มีความชำนาญ และมีความรู้เกี่ยวกับมิติของการกำกับดูแลดังกล่าวด้วย นี่จึงเป็นที่มาของการถอดรหัสการวางยุทธศาสตร์ให้กับธุรกิจคลินิกความงาม กับ...
พิพัฒนกรณ์ เอี่ยมศิลา กรรมการบริหาร บริษัท เอ พี เอ คอนซัลแทนท์ จำกัด นักยุทธศาสตร์แบรนด์ความงามระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์แบบ 'คลุกวงใน' กับธุรกิจคลินิกความงามและศัลยกรรมมากว่าทศวรรษ
ปัจจุบันธุรกิจคลินิกความงามมีการแตกเซ็กเมนต์แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ อย่างไร
หากจะแบ่งธุรกิจประเภทนี้สักประมาณสิบปีที่ผ่านมาก็จะเป็น กลุ่มคลินิกศัลยกรรมที่มีการทำตา จมูก ปาก คาง ยกกระชับใยหน้า เสริมหน้าอก แปลงเพศฯลฯ ซึ่งจะดำเนินการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง, กลุ่มคลินิกผิวพรรณและความงาม ซึ่งจะให้บริการทางด้านดูแลผิวพรรณ ปรับรูปหน้า โดยการใช้เลเซอร์ชนิดต่างๆ หากเป็นการปรับรูปหน้าก็จะมีการใช้สารเติมเต็ม สารลดริ้วรอย สลายไขมันเข้ามาร่วมด้วย และกลุ่มคลินิกทางด้านศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging) ซึ่งจะเป็นการดูแลให้วิตามิน การใช้สเต็มเซลส์เพื่อเข้ามาดูแลสุขภาพ เพื่อให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายไม่เสื่อมถอยไปตามวัย ซึ่งในช่วงหลังๆ มานี้ก็จะมีนวัตกรรมในด้านนี้เพิ่มเข้ามามากขึ้น มีการพัฒนาศาสตร์ทางด้านความงามและการดูแลสุขภาพ อย่างที่ปัจจุบันเราจะได้เห็นมหาวิทยาลัยบางแห่งได้มีหลักสูตรเวชศาสตร์ฟื้นฟู และหลายๆ โรงพยาบาลมีศูนย์ความงามและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูครบวงจร เพื่อให้เสนอการรักษาแบบทางเลือกให้หลากหลายมากขึ้น
"การสร้างแบรนด์ให้กับธุรกิจความงามนั้น
สิ่งที่เจ้าของคลินิกจะต้องได้มากกว่าเนื้องานที่ทำ
นั่นก็คือ คอนเนคชั่น
เพื่อใช้ต่อยอดธุรกิจในอนาคต"
การปั้นแบรนด์และทำการสื่อสารการตลาดให้ธุรกิจคลินิกความงามแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ อย่างไร
ต้องบอกว่า ถ้าคุยกันแบบไม่เครียด การทำงานในฐานะที่ปรึกษาคลินิกความงามถือว่าก็คงไม่ต่างไปจากผู้จัดการดารามากนัก เพราะต้องช่วยดูแลวางแผนให้ทั้งหมด เริ่มต้นกันตั้งแต่การค้นหาความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นคุณหมอเจ้าของคลินิกว่าต้องการสร้างแบรนด์อย่างไร ซึ่งคงแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ ต้องการสร้าง Corporate Brand เพราะอยากให้ชื่อของคลินิกเป็นที่รู้จักกับตลาด หรือในบางรายการสร้าง Personal Brand เพื่อให้สาธารณชนรู้จักคุณหมอ เนื่องจากคุณหมอเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนั้นจริงๆ หรือในกรณีที่ต้องการ Rebrand หรือ Refresh Brand ซึ่งก็จะเป็นได้ทั้งในส่วนของ Corporate Brand และ Personal Brand ที่แบรนด์เดิมแข็งแรงอยู่แล้ว แต่อาจไม่ได้สร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ทำให้สาธารณชนอาจจะลืมเลือนไปบ้าง ตรงนี้ก็ต้องกลับมาสร้างแบรนด์กันใหม่อีกครั้ง หรือทำให้แบรนด์มีความสดชื่นขึ้น มีความเป็นหนุ่มเป็นสาวตามทันยุคสมัยมากขึ้น
เมื่อได้ความต้องการและทราบว่าจะต้องสร้างแบรนด์ในระดับใดจากนั้นจึงจะวางยุทธศาสตร์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่ต้องการซึ่งในการสร้าง Personal Brand ก็ต้องคุยกันในเชิงลึก เพื่อค้นหาตัวตน ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนทัศนคติของคุณหมอ นอกจากนี้ในการทำงาน แม้ลูกค้าจะเป็นธุรกิจคลินิกความงามเหมือนกัน แต่ใน 'ความเหมือนก็มีความแตกต่าง' ที่สำคัญ เราจะไม่รับลูกค้าคลินิกที่มีตำแหน่งทางการตลาดหรือมีความเชี่ยวชาญที่ไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะเป็น Conflict of Interests และเป็นหลักจริยธรรมส่วนตัวของเราเอง และที่สำคัญธุรกิจคลินิกความงามที่เราจะรับนั้นต้องเป็นแพทย์ที่มีจรรยาแพทย์ และหลักจริยธรรมที่มีความรับผิดชอบต่อคนไข้ เราจึงจะรับทำงานให้ เพราะนี่คือความยั่งยืนของธุรกิจหากแพทย์ที่มีจรรยาแพทย์และยึดมั่นคุณธรรม
สำหรับการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เวลาเราทำงานเราจะทำให้ 'เกินร้อย' อยู่แล้ว เพราะเราเองก็มีเป้าหมายส่วนตัวด้วยว่า นอกจากลูกค้าของเราจะไปสู่เป้าหมายตามต้องการแล้ว ลูกค้าจะต้องได้มากกว่าเนื้องานโดยเฉพาะ 'คอนเนคชั่น' ที่เรามีอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ดารา หรือเซเลบริตี้ ที่เราจะเชื่อมโยงให้รู้จักกัน เพื่อที่จะต่อยอดกันได้ด้วยตัวเองในอนาคต เพราะคำว่า 'คอนเนคชั่น' นั้นผมเชื่อว่า หลายๆ ท่านซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
จากประสบการณ์ที่ทำงานมา ความยากง่ายของงานที่ทำอยู่ตรงไหน
จะบอกว่า อะไรง่ายหรือยากคงไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนขนาดนั้น แต่โดยส่วนตัวพบว่า ส่วนที่ยากที่สุดคือ การปรับทัศนคติให้ตรงกันระหว่างเรากับเจ้าของธุรกิจคลินิกความงามว่า สิ่งที่ลูกค้า (ธุรกิจคลินิกความงาม) ต้องการคืออะไร เพื่อที่เราจะนำไปสู่การวางยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตรงนั้นให้ได้ ในกรณีที่เจ้าของกิจการให้ความร่วมมือกับเรานั่นย่อมจะเป็นการง่ายที่สุด แต่ในทางการทำงานแต่ละที่ ผมก็เชื่อว่า จะมี 'ความหิน' อยู่แล้ว และในระหว่างทางสู่เป้าหมาย บางครั้งเจ้าของกิจการก็อาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เรานำเสนอไป
แต่อย่างไรก็ตามในภาพรวมลูกค้าที่ดูแล คุณหมอเองก็มี Personal Brand ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วและมีลูกค้าที่พูดกันแบบปากต่อปากอยู่แล้ว เพียงแต่อาจไม่ได้สร้างแบรนด์กันต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าของตนเองไปสู่กลุ่มใหม่ๆ ได้ พร้อมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าไปด้วยในขณะเดียวกัน ซึ่งก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดให้กับธุรกิจของลูกค้าได้อย่างมั่นคงขึ้นอีกระดับ
ในยุคแห่งโซเชียลเน็ตเวิร์กคลินิกความงามต้องใช้บริการเอเจนซี่อย่างเราด้วยหรือ และเทรนด์จะเป็นอย่างไร
สำหรับการสื่อสารการตลาดก็ยังคงมีความจำเป็นที่ธุรกิจความงามจะต้องมีและยังคงสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ควรต้องใช้ธุรกิจที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อช่วยวางแผนยุทธศาสตร์และการทำการสื่อสารให้ โดยเฉพาะในยุควิกฤติโควิด-19 เช่นนี้บอกได้เลยว่า แบรนด์ใหญ่ หรือแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งจะรอด เนื่องจากได้อานิสงส์จากการสร้างแบรนด์มาแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นอย่างดี จนทำให้แบรนด์มีความแข็งแรงมากพอ อีกทั้งจะเป็นกลุ่มที่มีฐานการเงินที่มั่นคง มีงบลงทุนในระยะยาว ที่สำคัญ ธุรกิจความงามยุคนี้ต้องสามารถปรับตัวสำหรับการสื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์
ที่สำคัญ ในยุคนี้เทรนด์ของตลาดที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ การทำประชาสัมพันธ์กันมากขึ้น เพราะเป็นการลดต้นทุนในการทำการตลาด ด้วยแนวคิดที่ยังเชื่อมั่นว่า Content is King ข่าวเดียว สามารถกระจายได้หลายสื่อ สามารถสร้างความรู้ให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสามารถนำคอนเทนต์นั้นๆ มาต่อยอดกับช่องทางออนไลน์ของทางธุรกิจคลินิกความงามได้เป็นอย่างดีด้วย
นอกจากนี้ยังจะเน้นไปที่กลยุทธ์ที่เน้นการสร้างความภักดี (Loyalty Driven Marketing) เพื่อสร้างความภักดีที่มีต่อแบรนด์ ที่สำคัญ ความภักดีเหล่านี้ จะทำให้ธุรกิจสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าของตนเองไว้ได้ ซึ่งในเชิงของการใช้งบประมาณก็ถือว่าน้อยกว่า การแสวงหาลูกค้าใหม่ๆ หลายเท่ามากๆ ทีสำคัญ ฐานลูกค้าเก่าที่มีความภักดีเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่เป็น 'ทูตของแบรนด์' และทำหน้าที่บอกต่อให้กับเราด้วย
แม้ในยุคดิจิทัลจะมีโซเชียลเน็ตเวิร์กให้เชื่อมโยงกัน แต่ก็ใช่ว่า แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เข้ามาจะเวิร์กเสมอไป และแต่ละแพลตฟอร์มก็ยังมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน เหมาะกับการสื่อสารที่แตกต่างกันด้วย อย่าง TikTok สามารถใช้เพื่อสร้าง Awareness ได้ แต่อาจไม่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความน่าเชื่อถือ หรือแม้แต่แอปพลิเคชัน Clubhouse ก็เป็นการสื่อสารที่ใช้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์ก น้ำหนักก็จะไปตกที่ Facebook รองลงมาคือ YouTube, Google (SEO), IG, Twitter ซึ่งในช่วงนี้ และในอนาคต การทำการตลาดผ่าน Google (SEO) ก็จะยังคงมาแรงขึ้น เพราะเป็นช่วงที่พวกเราจะต้องอยู่บ้านกันมากขึ้นจากมาตรการที่รัฐบาลขอให้องค์กรต่างๆ ให้พนักงาน Work From Home กันในช่วงวิกฤติโควิด-19 ขณะที่การเลือกใช้ Influencer ก็จะเน้นไปทาง Micro Influencer มากขึ้น เพราะเป็นเสมือนคนใกล้ตัวที่เข้าถึงได้ สามารถจับต้องได้มานั่งสื่อสารให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ทำเกี่ยวกับการทำสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของลูกค้าคือ ต้องวางแผนเพื่อการสื่อสารจะต้องสอดคล้องกับนโยบาย และสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ในทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นสื่อแบบดั้งเดิม (Traditional Madia) โซเชียลมีเดีย, Call to Action เพื่อตอกย้ำแบรนด์ ตลอดจนการจัดทำโปรโมชั่นต่างๆ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่ลดมาตรฐานและคุณภาพ เพราะในความเป็นจริง มีคลินิกบางแห่งทำกิจกรรมทางการตลาดเพียงแค่ให้ได้มาซึ่งลูกค้าเท่านั้น 'มียอดขาย แต่ไม่ยั่งยืน' ทำให้ได้ลูกค้าแบบ 'ตีหัวเข้าไม่บ้าน' และ ไม่กลับมาใช้บริการซ้ำ ทำให้ต้องเหนื่อยกับการหาลูกค้าใหม่ตลอดเวลา เพราะใช้ของคุณภาพไม่ดี บริการไม่ประทับใจ
โดยส่วนตัว ให้ความสำคัญกับการรักษาลูกค้าเก่าไม่แพ้การหาลูกค้าใหม่ รวมถึงการรักษามาตรฐาน และคุณภาพการให้บริการของคลินิกให้คงไว้อย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างประการณ์การรับรู้ การสัมผัสใหม่ๆ อยู่สม่ำเสมอ ตลอดจนการให้บริการแบบเหนือความคาดหวัง
แล้วในฟากของผู้บริโภคก่อนที่เข้าไปทำสวย เสริมหล่อ ควรต้องทำหรือไม่ทำอะไร
การรับบริการเช่นนี้ บอกเลยว่าทำในประเทศไทย ปลอดภัย และสบายใจได้มากกว่า อย่างน้อยในเบื้องต้นตัดปัญหาเรื่องการสื่อสาร เพราะขนาดสื่อสารกับแพทย์ไทยด้วยกันเองก็ยังอาจมีปัญหาไม่เข้าใจกันได้ แล้วถ้าไปต่างประเทศจะขนาดไหน เว้นแต่เราจะสามารถสื่อสารภาษาของประเทศนั้นๆ ได้ก็ลองดู แต่ปกติการไปกับเอเจนซี่ก็จะเป็นการพูดผ่านล่าม ซึ่งอาจสื่อสารได้ไม่ครบถ้วน ที่สำคัญ พื้นฐานโครงสร้างหน้าคนไทยแตกต่างกับต่างชาติ แม้จะเป็นเอเชียด้วยกันก็ตาม ความเชื่อที่ผิดๆ เพื่อให้สวยได้ด่วนนั้น อย่างการไปทุบโหนกแก้มแล้วฉีดไขมันนั้นจะเป็นการสวยในระยะสั้น แต่พอนานไปอายุมากขึ้น กระโหลก ตรงส่วนใบหน้าทรุด ก็จะมีปัญหาจะมีปัญหาแก่เร็วเข้าไปอีก
ที่สำคัญ ฝีมือของแพทย์ไทยถือว่าสุดยอดแล้วในระดับเอเชีย และเป็นที่หนึ่งของระดับเอเชียอาคเนย์ ติดอันดับโลกมากกว่าแพทย์ประเทศอื่นๆ ฉะนั้น จึงสามารถรับรองได้ว่า การทำศัลยกรรมในประเทศไทยจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดี เพราะเหมาะกับโครงหน้าคนไทยมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำตา จมูก หรือแม้แต่การแปลงเพศประเทศไทยก็เป็นอันดับหนึ่งของโลก ที่ทำแล้วสวยเป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วย เพียงแต่ยังขาดการสื่อสารออกมาให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความสามารถของแพทย์ไทย ซึ่งที่ผ่านมาเน้นทำการสื่อสารกันแต่เรื่องราคา และผลลัพธ์ที่ดูเกินจริง อีกทั้ง มีการพัฒนาทางการแพทย์ และมีการนำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาใช้กับคนไข้ก็ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการคนไข้ให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นตามไปด้วย
ความเห็นในส่วนของแพทย์และเจ้าของธุรกิจ คิดว่าควรต้องทำหรือไม่ทำอะไร
สำหรับใครที่สนใจในเรื่องของการทำ Branding Marketing สามารถติดต่อได้ที่ ID Line : casnovadew
บทสัมภาษณ์จากนิตยสาร MarketPlus Issue 134 เรื่องจากปก Younger & Beauty More