กรุงศรีชี้การฉีดวัคซีนที่คืบหน้าอาจเป็นแรงหนุนการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นและภาคท่องเที่ยวไทยในระยะถัดไป
18 Jun 2021

วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในรอบสัปดาห์นี้ว่า ความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมร่วงลงต่อเนื่อง คาดความคืบหน้าจากการฉีดวัคซีนจะช่วยหนุนการฟื้นตัว โดยดัชนีการความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 44.7 จาก 46.0 เดือนเมษายน เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ 82.3 จาก 84.3 เดือนเมษายน สาเหตุหลักจากการระบาดของ COVID-19 ระลอกสาม กอปรกับในเดือนพฤษภาคมมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในระดับสูง และพบการระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ๆ ในกลุ่มแรงงานก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรม

 

แม้สถานการณ์การระบาดยังไม่บรรเทาลงในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะข้างหน้าอาจมีปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ความเชื่อมั่นกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง ได้แก่

  1. การปูพรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน แม้ปริมาณวัคซีนอาจจะยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน แต่การฉีดวัคซีนสามารถดำเนินการได้เป็นวงกว้าง ล่าสุด 7 วัน  (วันที่ 7-13 มิถุนายน) อัตราการฉีดวัคซีนเฉลี่ยอยู่ที่  2.8 แสนโดสต่อวัน
  2. ความคืบหน้าในการจัดหาวัคซีนทางเลือกอื่นๆ เพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
  3. มาตรการรัฐเพื่อเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชนวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในช่วงครึ่งปีหลัง และการคาดหวังมาตรการเพิ่มเติมจากพ.ร.ก.กู้เงินฉบับใหม่ที่อาจใช้เงินราว 1 แสนล้านบาท
  4. ธปท.ขยายเวลาพักชำระหนี้ออกไปเป็นถึงสิ้นปีนี้ (เดิมสิ้นสุดเดือนมิถุนายน) แก่ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดระลอกใหม่ รวมถึงมาตรการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างสถาบันการเงินกับลูกหนี้

 

ด้านภาคท่องเที่ยว แม้ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์จะเริ่มดำเนินการได้ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ แต่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอาจยังมาไม่มากนักในไตรมาส 3 การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เห็นชอบในหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลางของจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) ตามข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่จะมีกำหนดดำเนินการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 นี้ โดยมีกำหนดแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว แต่ต้องอยู่ในพื้นที่จังหวัดนั้นเป็นเวลา 14 วัน (ปรับจากเดิม 7 วัน) ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการทบทวนในรายละเอียดและนำเสนอให้ค.ร.ม.พิจารณาอนุมัติต่อไป

 

แนวทางการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ล่าสุดทางการกำหนด 10 จังหวัดพื้นที่นำร่อง ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ บุรีรัมย์ และกรุงเทพมหานคร จากข้อมูลในปี 2562 พบว่าทั้ง 10 จังหวัดข้างต้น สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมกันสูงเกือบ 95% ของรายได้ทั้งหมดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ  โดยในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ การเริ่มโครงการภูเก็ตแชนด์บ็อกซ์เป็นต้นแบบ ก่อนจะทยอยเปิดเพิ่มเติมในพื้นที่นำร่องอื่นๆ ซึ่งทางการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประมาณ  129,000 คน ในช่วงไตรมาส 3/2564

 

ทั้งนี้ การที่แต่ละพื้นที่นำร่องจะสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้จะต้องจัดสรรวัคซีนให้แต่ละพื้นที่ครบตามจำนวนที่ขอไว้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อย่างไรก็ตาม วิจัยกรุงศรีประเมินว่าแม้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกต์จะสามารถดำเนินการได้แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาอาจยังมีไม่มากนัก โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 จะมีประมาณครึ่งหนึ่งจากเป้าของทางการ เนื่องจากนักท่องเที่ยวอาจยังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดในไทย รวมถึงตลาดนักท่องเที่ยวสำคัญยังเผชิญกับการระบาดที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงอยู่ อาทิ อินเดีย และมาเลเซีย นอกจากนี้เงื่อนไขและข้อกำหนดทั้งจากประเทศต้นทางและปลายทางที่อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ

 

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง คาดธนาคารกลางสหรัฐฯ เตรียมหารือแผน มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE tapering) ธนาคารโลกคาดเศรษฐกิจโลกเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 80 ปี แม้ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายประการ โดยในปี 2564 GDP โลกอาจขยายตัว 5.6% สูงกว่าประมาณการเดิมซึ่งคาดไว้ที่ 4.1% (เดือนมกราคม 2564) ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯและจีน พร้อมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศแกนหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ 6.8% (เดิม 3.5%) ยูโรโซน 4.2% (3.6%) ญี่ปุ่น 2.9% (2.5%) และจีน 8.5% (7.9%)

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นแต่การฟื้นตัวยังไม่เท่าเทียมกันโดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากยังมีความล่าช้าในการกระจายวัคซีน และมีความไม่แน่นอนที่อาจกดดันการฟื้นตัว ได้แก่

  1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในบางประเทศอาจไม่เพียงพอที่จะรับมือการระบาดรอบใหม่
  2. แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อของโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้ และอาจส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินและภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
  3. การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสบางตัวสามารถต้านภูมิคุ้มกันจากวัคซีนอาจทำให้ยังคงมีการระบาดการฟื้นตัว จึงล่าช้าออกไปธุรกิจที่เปราะบาง อาจเผชิญปัญหาการล้มละลาย และกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของบางประเทศได้

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มอาจหนุนให้เฟดเริ่มหารือแนวทางปรับการผ่อนคลายเชิงปริมาณในระยะอันใกล้นี้ ในเดือนเมษายนตัวเลขการเปิดรับสมัครงานแตะระดับ 9.3 ล้านตำแหน่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 5.0% YoY สูงสุดในรอบ 13 ปี สำหรับในเดือนมิถุนายนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มสู่ระดับ 86.4 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ล่าสุดจำนวนผู้ยื่นขอรับสิทธิสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 มิถุนายน ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่ 3.76 แสนราย

 

ข้อมูลล่าสุดชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นต่อเนื่อง ขณะที่การเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยชั่วคราวโดยเฉพาะฐานต่ำในปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงของการใช้มาตรการล็อคดาวน์ รวมทั้งข้อจำกัดในภาคการผลิตที่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ส่วนการฟื้นตัวยังมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่อยู่ในระหว่างพิจารณาของสภา คองเกรส ล่าสุด ประธานาธิบดีไบเดน ได้พยายามผลักดันแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือ American Jobs Plan มูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอาจเลือกใช้แนวทางการจัดทำงบประมาณแบบ Budget reconciliation ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน สำหรับการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการ QE ตลอดปีนี้ แต่อาจส่งสัญญาณเกี่ยวกับการหารือเกี่ยวกับแผนการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE Tapering) และอาจมีการประกาศแผนดังกล่าวในไตรมาสที่ 4  ปีนี้

 

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ส่งสัญญาณยังไม่ปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในไตรมาสที่ 3 ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ที่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโร จนถึงเดือนมีนาคมปี 2565 ในการประชุมครั้งนี้ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปี 2564 เป็น 4.6% (เดิมคาด 4.0%) พร้อมปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อปี 2564 สู่ระดับ 1.9% (จาก 1.5%) โดยในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% และ 1.4% ตามลำดับ ยังห่างจากเป้าหมายของ ECB ที่ 2.0%

 

แม้ ECB จะมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการฟื้นตัวของยูโรโซน แต่ประธาน ECB ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในไตรมาสที่ 3 โดยระบุว่าการปรับสู่นโยบายการเงินแบบเข้มงวดถือว่าเร็วเกินไปและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว วิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB อาจทยอยปรับลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์รายสัปดาห์ตามโครงการ PEPP ในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำอย่างน้อยจนถึงปี 2566

 

[อ่าน 1,789]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จักกับ “Jack Wey” ผู้ก่อตั้งแบรนด์ GWM WEY
AssetWise ยกระดับเมืองน่าอยู่ จัดประกวดออกแบบ “สุขา สุขี: THE HAPPY TOILET PROJECT”
Trip.com จับมือโรงแรมชาเทรียม แกรนด์ กรุงเทพฯ เปิดประสบการณ์อาหารระดับโลก
เกาหลีรุก! ปล่อยหมัดเด็ด “Hyundai Deal SEOUL Good” กับข้อเสนอ Motor Expo 2025
โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ กวาดรางวัลต่อเนื่อง ติดอันดับ 60 โรงแรมยอดเยี่ยมของโลก
เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ พลิกโฉมแอป GEN 365 ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า สู่แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านประกันชีวิตครบวงจร
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved