4 แนวทาง วว. พลิกเกมนวัตกรรม ติดปีกเกษตร - อุตสาหกรรมแข่งตลาดโลก
18 Aug 2021

 

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการตามนโยบายพิเศษของรัฐบาล อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมประกาศสนับสนุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและอุตสาหกรรมสู่ตลาดโลกด้วย 4 หลักการสร้างสังคมนวัตกรรมอย่างยั่งยืน

พร้อมพลิกเกมนวัตกรรมจากการพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติก และเตรียมขึ้นทะเบียน 15 สายพันธุ์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารในเชิงพาณิชย์ คาดจุลินทรีย์สัญชาติไทยสามารถลดการนำเข้าหัวเชื้อจุลินทรีย์จากต่างประเทศ 100% ภายใน 7 ปี และเผยความสำเร็จของศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (InnoAg) BCG Model พลิกโฉมเกษตรกรรมด้วยชีวจุลินทรีย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  อัปเกรดสินค้าเกษตรไทยสู่ตลาดโลก

 

4 หลักการสร้างสังคมนวัตกรรม

 

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว) เปิดเผยถึง

การดำเนินงานขององค์กรว่า วว. มุ่งเน้นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เพื่อสร้างสังคมนวัตกรรมอย่างยั่งยืน ภายใต้การดำเนินงานที่เรียกว่า 4 Guiding Principles ประกอบด้วย

  • 1). วทน. เพื่อเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bio based Value Creation) วว.วิจัยและพัฒนาบนฐานของทรัพยากรชีวภาพโดยมุ่งเน้นไปที่คลัสเตอร์เป้าหมายของประเทศ เริ่มตั้งแต่คลัสเตอร์เกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจัดว่าเป็นอาชีพหลักของคนไทย ตามด้วยการแปรรูปอาหารเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร วิจัย และพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ พัฒนาด้านการแพทย์ครบวงจร รวมไปถึงพื้นที่สงวนชีวมณฑล

 

  • 2). เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) วว.ได้พัฒนาเทคโนโลยี ที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ได้อย่างลงตัว โดยเป็นเทคโนโลยีที่มีรูปแบบและเงื่อนไขในการใช้งานที่เหมาะกับการใช้งานได้จริง ทั้งในด้านต้นทุนและความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดคือ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในการเอื้อประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สามารถสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการได้จริง

 

  • 3). วทน.แก้ปัญหาเบ็ดเสร็จครบวงจร (STI for Total Solution) เราให้บริการวิจัยและพัฒนาแก่ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี โอทอป วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนเกษตรกรที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเพิ่มมูลค่าและแก้ไขปัญหาให้กับผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว การดำเนินงานส่วนนี้ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการผ่านการรับฟังแนวคิด และปัญหาของผู้ประกอบการก่อน แล้วจึงนำมาวิจัยและพัฒนา ทั้งการสร้างและออกแบบผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และแก้ไขปัญหาของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว รวมถึงให้บริการวิเคราะห์ ทดสอบ สอบเทียบ ผ่านศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการวิจัย พัฒนาและบริการอุตสาหกรรม ที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชนและชุมชน

 

  • 4).วทน. เพื่อชุมชน (STI for Area Based) มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ด้วยการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเชิงพื้นที่ ช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ในพื้นที่ นับเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน

 

 

เตรียมขึ้นทะเบียน 15 สายพันธุ์จุลินทรีย์โพรไบโอติก

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา กล่าวต่อไปถึงผลงานความสำเร็จของ วว. ว่า "ตามที่ศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Innovative Center for Production of Industrially Used Microorganisms: ICPIM) ภายใต้การกำกับดูแลของวว.ได้รับงบประมาณจากแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 154.13 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนขยายกำลังการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ให้มีปริมาณมากเพียงพอต่อการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมชีวภาพตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่

 

ของประเทศ ขณะนี้ วว. สามารถพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิตจุลินทรีย์โพรไบโอติกคุณภาพสูง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ ที่โดดเด่นได้ถึง 15 สายพันธุ์ได้เป็นผลสำเร็จ โดยได้รับอนุมัติใบอนุญาตขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่ผลิตประเภทวัตถุเจือปนอาหารจากองค์การอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว และอยู่ในระหว่างการขอขยายขอบข่ายการขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่ผลิตประเภทเสริมอาหารเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติในเร็ว ๆ นี้    

 

การได้รับเงินลงทุนเพิ่มขึ้นทำให้ ICPIM สามารถขยายการผลิตจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นได้ถึง 2.5 หมืนลิตรต่อปี จากเดิมที่ผลิตได้เพียง 1.5 หมื่นลิตรต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม การดำเนินงานของ ICPIM มุ่งเน้นที่การวิจัยและพัฒนา โดยนำความหลากหลายทางชีวภาพของจุลินทรีย์ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในคลังหัวเชื้อกว่า 1 หมื่นชนิดมาพัฒนาขยายผลในระดับห้องปฎิบัติการ ด้วยกระบวนการคัดสรรจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหารมาพัฒนาให้เป็นโพรไบโอติกได้ถึง 15 สายพันธุ์ จาก 24 สายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร อาหารเสริม และเสริมความงามทั่วโลก

 

นอกจากจุลินทรีย์โพรไบโอติกจะมีประโยชน์โดยตรงกับการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้นแล้วยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารในการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภท เช่น น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ, น้ำตาลสุขภาพ, เครื่องปรุงรส, ขนมขบเคี้ยว, ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม ฯลฯ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพยังสามารถพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติกให้มีคุณสมบัติเป็นทางเลือกใช้ป้องกันการเกิดโรค หรือใช้ควบคู่กับการรักษาได้อีกด้วย"

 

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา กล่าวต่อไปว่า “ปัจจุบันมูลค่าการนำเข้าหัวเชื้อจุลินทรีย์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในประเทศ อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี ความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ของ ICPIM จะสามารถชดเชยเงินลงทุนในส่วนนี้ของภาคอุตสาหกรรมได้ตั้งแต่ในช่วงแรกของการเริ่มโครงการคือประมาณ 20-30% และคาดว่าภายใน 5-7 ปีก็จะสามารถชดเชยได้ 100% การนำจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ที่ผลิตได้ในประเทศมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยสุขภาพที่ดีขึ้นแล้วยังเป็นการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศผ่านการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถยกระดับมาตรฐาน คุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ โดย ICPIM จะเป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีจุลินทรีย์และกระบวนการชีวภาพต้นแบบ ที่พร้อมให้บริการ และเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย

 

BCG Model พลิกโฉมเกษตรกรรม

นอกจากนี้ วว. ยังมีผลงานที่น่าชื่นชมจากการดำเนินงานและความสำเร็จของศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ (InnoAg) ภายใต้การกำกับดูแลของวว. ซึ่งดำเนิน “โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตกด้วย BCG โมเดล” ในปีงบประมาณ 2564ได้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการผลิตพืชรูปแบบเกษตรสมัยใหม่โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยใช้สารชีวภัณฑ์เป็นตัวตั้งต้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกระบวนการผลิต ลดปัญหาสุขภาพของเกษตรกร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตตามแนวทาง BCG โมเดล พัฒนาให้เกิดการทำเกษตรแบบปลอดภัยยั่งยืนแข่งขันได้ในระดับโลก

 

ทั้งนี้ BCG โมเดล ตามกรอบนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) การนำสารชีวภัณฑ์สำหรับการป้องกันกำจัดศัตรูพืช จึงมีความปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีสารพิษตกค้าง สามารถนำมาใช้เพิ่มผลผลิตพืชเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อสร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี 

 

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา กล่าวถึงการขับเคลื่อน BCG Model ใน 4 จังหวัดนำร่อง เพื่อมุ่งเป้ายกระดับ 7 พืชเศรษฐกิจไทยว่า ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ได้เลือก 4 จังหวัดในเขตภาคกลางตะวันตกเป็นพื้นที่นำร่อง ได้แก่ อยุธยา และสุพรรณบุรี (ข้าว)นครปฐม (ส้มโอ)และกาญจนบุรี (อ้อย มันสำปะหลัง กล้วย และหน่อไม้ฝรั่ง)ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 10,650,074 ไร่ 

 

จากการสำรวจและวิจัยในเบื้องต้น พบว่าเกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน โดยปัญหาหลักของเกษตรกรในพื้นที่มาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  • ปัญหาด้านปัจจัยและฐานทรัพยากรการผลิต - ที่ดินทำกิน การเข้าถึงทรัพยากรน้ำ เกษตรกรรายย่อยขาดศักยภาพการผลิต
  • ปัญหาเรื่องสุขภาวะของผู้ผลิตและผู้บริโภค - เกิดการตกค้างในสภาพแวดล้อม ในดิน รวมถึงตกค้างในผลผลิต ขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้อง
  • ปัญหาด้านการตลาด – ปัญหาการส่งออกพืชผลทางการเกษตร ราคาผลผลิตตกต่ำ

 

ศ.(วิจัย) ดร.ชุติมา กล่าวถึงการอัปเกรดสินค้าเกษตร เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันว่า 

"วว.ได้ยกระดับการผลิตพืชรูปแบบเกษตรสมัยใหม่โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก – ชุดอุปกรณ์ล้างและตัดหน่อไม้ฝรั่ง (ยืดอายุการเน่าเสียของหน่อไม้ฝรั่งได้นานขึ้น), เทคโนโลยีข้าวเสริมซีลีเนียม, เทคโนโลยีการพัฒนาวัสดุเพาะเห็ด – ก้อนเพาะเขื้อเห็ดจากฟางข้าวเสริมซีลีเนียมสำหรับเห็ดนางรม กากมันสำปะหลังสำหรับเห็ดฟาง), เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ๋ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต – ผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตอ้อยเสริมด้วยจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต เพื่อเพิ่มปริมาณ/คุณภาพผลผลิตของอ้อย, การเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืชด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต (มันสำปะหลังและกล้วย), เทคโนโลยีผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ เพื่อใช้ในแปลงสาธิต และสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับ สำนักงานเกษตรจังหวัด (หัวเชื้อบาซิลัส ซับทิลิส  บิววาเรีย ไตรโคเดอร์มา เมตาไรเซียมเชื้อสด จำนวนรวมทั้งสิ้น 270,950 ลิตร)

 

นอกจากนี้ ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่การผลิตตามแนวทาง BCG โมเดล ได้แก่ การผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าว - โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่มผงชงดื่ม  ผลิตภัณฑ์ข้าวตัง และขนมขบเคี้ยวจากข้าว (กราโนล่า คุ้กกี้), จัดทำคู่มือถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชน รวมถึงวัตถุดิบและสิ่งของที่จำเป็นต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สำหรับจัดส่งให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชน, การผลิตผลิตภัณฑ์จากอ้อย - ไซรัปจากอ้อย น้ำตาลอ้อยชนิดก้อน (รสชาติ 100% ธรรมชาติ กาแฟ ชาเขียว) น้ำตาลอ้อยชนิดผง, เทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพจากมะพร้าวน้ำหอม – ผลิตภัณฑ์ชงดื่มบำรุงกระดูก การทดสอบประสิทธิภาพของน้ำมะพร้าวในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และการเสริมสร้างกระดูกในเซลล์กระดูกอ่อน (การให้บริการในเชิงพาณิชย์), เทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากกล้วยไข่ กล้วยหอม ส้มโอ และข้าว – สารสกัดสำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระและการสร้างเม็ดสีผิว (กระ ฝ้า), พัฒนาบรรจุภัณฑ์ธรรมชาติจากขยะเหลือทิ้งทางการเกษตร สร้างโอกาสและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ ลดความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจฐานราก" 

พลิกโฉมเกษตรกรไทย สู่ Smart Farmer 

"ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องของนักวิจัยไทย ร่วมกับเกษตรกรและหน่วยงานสนับสนุนในท้องถิ่น ทำให้โครงการฯ นี้ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้  โดยมีกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Functional Food และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ 163 ราย เกษตรกร / วิสาหกิจชุมชน สามารถสร้างปัจจัยการผลิตได้ 5 ผลิตภัณฑ์, สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปเพิ่มมูลค่าใหม่ได้ 10 ผลิตภัณฑ์, มีผู้ประกอบการสนใจร่วมลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา ภายใต้ BCG โมเดล 6 ราย

สามารถสร้างต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Non Food) และผสานแนวคิด Green Technology และแนวคิดการออกแบบแบบองค์รวม (Holistic Design) ได้ 2 ต้นแบบ คือ พัฒนาแบบร่างสำหรับบรรจุภัณฑ์เพาะกล้าอ้อย และพัฒนาแบบร่างสำหรับบรรจุภัณฑ์กันกระแทกเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ ที่ผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์ทางการเกษตรของสถาบัน สามารถช่วยยกระดับขีดความสามารถของเกษตรกรไทยในการพัฒนา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้น ช่วยให้ผลผลิตในแปลงของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 494 ราย จาก 4 จังหวัดต้นแบบ ได้รับผลผลิตที่ดีขึ้น ทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ ความปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค สร้างรายได้ให้แก่เกษตรเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ

นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเกษตรกรคุณภาพรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจภายใต้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของชาติด้วย BCG โมเดล เพื่อเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน"

 

[อ่าน 3,260]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดตัว 4 แบรนด์ใหม่ เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอทั่วโลก
SC ผนึก 5 สถาบันการเงิน เสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด หุ้นกู้อายุ 3 ปี และ 4 ปี เปิดจองซื้อ 18 และวันที่ 21 – 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
‘มิชลิน ไพลอต สปอร์ต คัพ 2 อาร์ เค1’ ยางชั้นเยี่ยมที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถไฮเปอร์คาร์ ‘เฟอร์รารี่ เอฟ80’ โดยเฉพาะ
นับถอยหลังเปิดตัว HYUNDAI SANTA FE ใหม่! ชูเครื่องยนต์ไฮบริด – 15 ก.ค. นี้
ออมสินโชว์ผลสำเร็จ 5 ปี “ธนาคารเพื่อสังคม” ช่วยคนไทย 13 ล้านชีวิต ส่งรายได้เข้ารัฐกว่า 9.6 หมื่นล้าน
ไอคอนคราฟต์ เผยเสน่ห์งานคราฟต์ไทยร่วมสมัย ผ่านแคมเปญ 'The Craft of Style'
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved