ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) ในศักราชใหม่นับจากปีนี้ เพื่อก้าวสู่กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร ต่อยอดความเชี่ยวชาญโลกการเงินปัจจุบันสู่โลกบริการทางการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service นั้น ระเฑียร ศรีมงคล ประธานกรรมการ บมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ประกาศแผนปักหมุดการเป็นผู้นำธุรกิจการเงินในเมืองไทยด้วย 3 จุดแข็ง 'พันธมิตร–17 ไลเซนส์– เงินทุน' ที่ XPG มีฐานเงินทุนกว่า 1 หมื่นล้านบาทและผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ตุนกำไรไว้แล้ว 65 ล้านบาท เชื่อรายได้ในปี 2565 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด รับการขยายตัวของตลาดการเงินดิจิทัลโลกที่มีมูลค่ารวมกว่า 40 ล้านล้านบาท
อะไรที่ทำให้บอกได้ว่า ปีนี้คือ Big Change ของ 'เอ็กซ์สปริง'
ปีนี้ถือเป็น 'การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่' ของ 'เอ็กซ์สปริง' ที่มีทั้งการเปลี่ยนชื่อจาก บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เป็น 'บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล' หรือ XPG โดยบริษัทฯ ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563 ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 นอกจากนี้ ยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน จนทำให้สามารถเพิ่มทุนได้สูงถึง 7,111 ล้านบาท ภายในเวลาไม่นาน รวมถึงการร่วมลงทุนจากพันธมิตร เช่น บมจ.แสนสิริ เป็นต้น ใน Digital Financial Service ซึ่งภายหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ทำให้เอ็กซ์สปริงมี 3 จุดแข็งด้วย นั่นคือ พันธมิตร, เงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมี 17 ไลเซนส์ในมือของเรา อีกทั้งคาดว่าจะมีอีก 4 ไลเซนส์อย่างช้าภายในปีนี้
ทั้งนี้ เรามีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจ ด้วยบทบาทของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจของเอ็กซ์สปริง เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทหลักทรัพย์ การมุ่งเน้นหุ้นขนาดกลาง (Mid-Cap) เป็นหลัก การบริการครบวงจรสำหรับตลาดทุนและโซลูชั่นในการขายโทเคนดิจิทัล (ICO) การยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจ และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนมนุษย์ (Human Capital) นอกจากนี้ เอ็กซ์สปริงจะพัฒนาต่อยอดในอนาคต ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ (AM) และการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาด (PE) เพื่อดึงดูดกลุ่มมั่งคั่งที่มีจำนวนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อเสนอขายสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบใหม่อีกด้วย
โครงสร้างบริษัทและบริษัทย่อยในปัจจุบันของ เอ็กซ์สปริง เป็นอย่างไร
บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจการเงินที่พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ดังนี้
วัตถุประสงค์การเพิ่มทุนของ XPG เพื่ออะไร
การเพิ่มทุนทำให้เอ็กซ์สปริงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีสภาพคล่องทางการเงินสูง ด้วยเงินทุนจากสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม 3,094 ล้านบาท และสัดส่วนการเพิ่มทุนอีก 7,111 ล้านบาท ทำให้เอ็กซ์สปริงมีเงินทุนในมือกว่า 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับการเพิ่มทุนนี้ผมถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและถือเป็นความสำเร็จในช่วงครึ่งปีแรก เพราะธุรกิจที่เรามองในอนาคตไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล, ธุรกิจหลักทรัพย์ ถ้าปราศจากทุนที่แข็งแกร่งก็จะไปต่อไม่ได้
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุน นอกเหนือการนำมาชำระคืนเงินกู้ที่มีในระดับหลักร้อยล้านบาท ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนน้อยมาก กับเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนแล้ว เรายังจะนำมาใช้ในสองส่วน คือ
1) ธุรกิจปัจจุบัน เพื่อใช้ขยายธุรกิจหลักทรัพย์และให้บริการโซลูชั่นทางการเงินแบบครบวงจรแก่ลูกค้า การสนับสนุนการลงทุนนอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity) การขยายธุรกิจบริหารจัดการกองทุนและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยงและความสามารถด้านเทคโนโลยี
2) ธุรกิจดิจิทัล เพื่อมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบดิจิทัล และสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจสำหรับบริการด้านการเงิน เนื่องจากเรามองตนเองว่าเราเป็นสตาร์ทอัพ ดังนั้น เราจึงต้องลงทุนกับการสร้างแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มากขึ้น โดยพิจารณาว่า บริษัทใดของเราจำเป็นต้องเข้าไปพัฒนา เพื่อเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นฐานสำหรับนักลงทุนในการที่จะเข้าไปลงทุนหรือทำธุรกรรมต่างๆ เพราะแม้แพลตฟอร์มของเราจะเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐาน แต่เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่พอ เราต้องทำ Process ด้วย ซึ่งเราได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากต่างประเทศเข้ามาช่วยพัฒนาระบบ Process และดึงคนเข้ามาด้วย เพราะเรามองว่า นี่คือการสร้างอนาคตและเป็นการสร้าง New S-Curve ในช่วงต่อไป
แผนการรุกธุรกิจภายหลังการเพิ่มทุนของ เอ็กซ์สปริง เป็นอย่างไร
เราจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจ 'Transformation & Leap Forward' เต็มรูปแบบ โดยตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด (XSpring AMC) บริษัทย่อยของเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล ได้ร่วมมือกับ 'แสนสิริ' 'ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์' ซึ่งประกอบด้วย ลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย และสัญญาหลักประกัน ซึ่งประกอบด้วย ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) เพื่อนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อยอดธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว รวมทั้งจะรุกธุรกิจ Digital Finance มากขึ้นผ่าน 'เอ็กซ์สปริง ดิจิทัล' ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) โดยเราจะออก ICO 2 ตัวในปีนี้ คือ
ทั้งนี้ ในสองปีแรกจะมีรายได้จากค่าเช่า และในสองปีหลังก็ต้องมาดูว่า เจ้าของตึกต้องการเอาตึกนี้ไปทำอะไร ถ้าขายแล้วได้เงินต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท กลุ่ม A จะปลอดภัย เพราะได้รับผลตอบแทนสี่ปีแล้วกว่า 30% และเงินต้นได้รับคืนแน่นอน แต่สำหรับกลุ่ม B ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าจึงได้รับผลตอบแทนมากกว่า นั่นคือ 8% ถ้าหาราคาขายหักค่าใช้จ่ายแล้วต่ำกว่า 2,400 ล้านบาทก็จะขาดทุน เพราะได้จ่ายเม็ดเงิน 1,600 ล้านบาทให้กับกลุ่ม A แล้วที่เหลือให้กลุ่ม B ก็จะไม่ถึง 800 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีแล้ว ราคาที่ดินโดยเฉพาะในทำเลที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ราคาจะสูงขึ้นตลอด ยกเว้นแต่จะอยู่ในภาวะไม่ปกติอย่างโควิด-19 ดังนั้น คนที่คุ้นเคยกับการลงทุนกับกลุ่มอสังหาฯ จึงคิดว่าน่าที่จะเสี่ยง เพราะผลตอบแทนดีและเมื่อผ่านไป 4 ปีก็จะมีโอกาส Up-Size ด้วย
นอกจากนี้ เอ็กซ์สปริง ยังมีแผนเปิดตัวธุรกิจนายหน้าและผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker & Dealer) ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และการขอใบอนุญาต Digital Asset Fund Manager ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ และ Open-Architecture Licenses เพื่อเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการหาโอกาสการลงทุนในบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพสูง ฯลฯ
เป้าหมายใน 3 - 5 ปีเป็นอย่างไร
วิสัยทัศน์ของผมกับ เอ็กซ์สปริง คือ เราต้องมีระบบนิเวศ (System) และแพลตฟอร์มที่สามารถเปิดให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งแบบ Traditional และ Digital Asset ซึ่งการสร้างระบบนิเวศ และแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์ขนาดนั้นได้จะต้องมีทีมงานที่ดีที่จะเข้ามาทำให้แพลตฟอร์มมีความสมบูรณ์มากขึ้น ทั้งนี้ นอกจากการทำหน้าที่เชื่อมโลกระหว่าง Traditional และ Digital แล้วยังมี Layer บางๆ ขณะที่เราสร้างโปรดักท์หรือเปิดทางเป็นเกตเวย์สำหรับนักลงทุนนั้น เราทำหน้าที่จับคู่คนที่จะหาทุน เข้าด้วยกันกับคนที่มีทุน เพราะคนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งจะต้องลงทุนในโปรดักท์ที่ดี หรือมีการลงทุนที่ถูกต้องด้วย แล้วภายใต้สภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ คนกลุ่มหลังที่กล่าวถึงนี้มีปริมาณเยอะขึ้น และโอกาสของเราที่จะได้ดีลที่ดีๆ ก็มีมากขึ้น เพียงแต่การกลั่นกรองตองมีความรอบคอบและละเอียดมากขึ้น ซึ่งงานนี้เป็นงานที่ เอ็กซ์สปริง จะต้องทำหน้าที่ให้ดี
ปีนี้มองว่า รายได้น่าจะได้สักเท่าไร
ช่วงครึ่งปีแรกเรามีรายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนแล้ว 167 ล้านบาท สูงกว่ารายได้รวมส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนของทั้งปี 2563 ที่มีจำนวนรวม 141 ล้านบาท กำไรสุทธิฯ อยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 791% ซึ่งนับเป็นสัญญาณบวก และเป็นปีที่เราลงทุนกับหลายๆ ตัว ดังนั้น ปีหน้าจะเป็นปีที่สิ่งที่เราลงทุนจะเริ่มผลิดอกออกผล แต่บางตัวก็อาจจะถึงจุดคุ้มทุนสักประมาณกลางปีหน้า ก็อาจจะยังเติบโตได้ในหลักหลายร้อยล้านบาทแน่ แต่จะถึง 1,000 ล้านบาทหรือไม่ก็ยังบอกไม่ได้
แต่ถ้าเมื่อดิจิทัลเสร็จสมบูรณ์จนสามารถเชื่อมต่อกันได้ และวิสัยทัศน์ที่เรามองไว้บรรลุได้ 70-80% เราก็เชื่อว่า เราจะได้เห็นการเติบโตของกำไรแบบก้าวกระโดดอย่างที่เรียกได้ว่าเป็น Exponential Growth ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องพูดกันถุงรายได้ แต่พูดกันถึงกำไรแล้ว