'The Dots' Connector Xtaligence & ClassMonster
24 Nov 2021

 

ธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ หรือแม้แต่มนุษย์เงินเดือน ประชาชนทั่วไป นิสิตนักศึกษาต่างก็มี 'หลุม' ที่ยังเติมไม่เต็ม ไม่ได้เติม หรือเติมเท่าไรก็ไม่เต็มเสียทีกันทั้งนั้น การเติมเต็ม 'หลุม' ด้วยการเชื่อมโยงจุดหรือ Connect The Dots จึงยังคงเป็นยุทธการที่หลีกหนีกันไม่พ้น แต่การจะเติมเต็ม 'หลุม' อย่างชาญฉลาดและร่นระยะเวลาด้วย นั่นคือโจทย์ใหญ่ ซึ่งคณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ EdBot ตระหนักถึง Pain Point ดังกล่าวจึงได้พัฒนาโครงการ Xtaligence และ โครงการ ClassMonster เพื่อทำหน้าที่เป็น 'The Dots' Connector ด้วยการเชื่อมโยงทีมงานที่มีความสามารถ ผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้และประสบการณ์ เพื่อการนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เหมาะสมกับความต้องการของภาคธุรกิจและภาคประชาชนทั่วไป

 

ที่มา พร้อมรายละเอียดของโครงการ ตลอดจนความคาดหวังเพื่อเติมเต็ม 'หลุม' ดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจาก แม่ทัพ New Gen ที่ต้องการจัดการกับ Pain Point ที่เกิดขึ้นมานาน ซึ่งประกอบด้วย โชติกา ณัทวรกุลธร ผู้จัดการ ​โครงการ Xtaligence โครงการที่ต้องการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับธุรกิจทุกขนาด โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวและผู้สนใจการพัฒนาศักยภาพให้กับตนเอง อันเป็นที่มาของชื่อที่มาจากสองคำ นั่นคือ Extra+ Intelligence และ ก้องภพ อภิศักดิ์กุล ผู้จัดการ โครงการ ClassMonster โครงการที่ต้องการเติมเต็มทักษะและศักยภาพ ให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลินกับผู้เรียนทุกกลุ่มทุกวัย สมกับชื่อที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Monster University ภาพยนตร์แอนิเมชั่นของค่าย Pixar ที่สะท้อนชีวิตนักศึกษาสุดมันส์ของสัตว์ประหลาด (Monster)

 

 

ที่มาโครงการ Xtaligence

ด้วยความรับผิดชอบของ โชติกา นอกจากหมวกของการเป็น ผู้จัดการโครงการ Xtaligence แล้วเธอยังดูแลงานในส่วนอื่นๆ ของ FAMZ  ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาให้กับธุรกิจครอบครัว ภายใต้การดำเนินงานของ คณะวิทยพัฒน์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ด้วยการพัฒนา FAMZ Tool ซึ่งเป็นการพัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้สำหรับการทำงานที่ปรึกษาธุรกิจให้กับธุรกิจครอบครัว ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายของวิกฤติโควิด-19 ทำให้ต้องปรับรูปแบบการทำงานกันแบบ New Normal ปรับเครื่องมือหลายๆ อย่างที่เป็นแบบแอนะล็อกให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่น ธรรมนูญครอบครัว, การสืบทอดธุรกิจ ฯลฯ นอกจากนี้ เธอยังดูแล UX, UI ของโครงการ ClassMonster ด้วย

 

โชติกา กล่าวถึงที่มาของโครงการ Xtaligence เพื่อ Connect The Dots ว่า

"ในฐานะที่ปรึกษาของธุรกิจครอบครัว เราเห็น Pain Point ของการส่งต่อธุรกิจไปยังคนรุ่นถัดๆ ไป โดยคนที่ทำหน้าที่ดูแลภาพรวมของธุรกิจอย่างรุ่นที่ 1 ยังไม่มั่นใจที่จะส่งต่อให้กับคนรุ่นที่ 2, 3 เนื่องจากข้อจำกัดทั้งทางด้านอายุ, ความรู้ และความรู้ในธุรกิจครอบครัว ตลอดจนประสบการณ์ที่ยังน้อยอยู่ ขณะที่การส่งต่อธุรกิจจะต้องวางแผนสืบทอด ด้วยระยะเวลาพอสมควรทีเดียว เพื่อการวางตำแหน่งให้ได้ว่า ผู้สืบทอดคนใดจะอยู่ในตำแหน่งไหน, ใครจะเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจ ซึ่งกว่าจะขึ้นตำแหน่งได้จริงก็อาจมีอายุล่วงเลยไป 40-50 ปีแล้ว แล้วอีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยเกษียณแล้ว

 

เราจึงคิดว่าถ้าเราสามารถร่นระยะเวลาวางแผนสืบทอดให้เร็วขึ้นด้วยการอบรมฝึกฝนจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ก็จะช่วยลดระยะเวลาการเรียนรู้ได้มาก จากเดิมอาจต้องเทคคอร์สอย่างน้อย 6 หรือเรียนต่อปริญญาโทหรือเอก ซึ่งกว่าจะจบสถานการณ์ของโลกธุรกิจก็เปลี่ยนไปแล้ว

นี่จึงเป็นที่มาของ Xtaligence โครงการที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญทุกด้าน และมีหลักสูตรที่ครอบคลุมกับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี จนถึงองค์กรขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ภาคประชาชนทั่วไป เพื่อสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและนำไปปรับใช้ได้   อีกทั้งมีโครงสร้างราคาที่เข้าถึงได้"  

 

ความแตกต่าง

ในเมื่อหลักสูตรเทรนนิ่งหรือการโค้ชต่างๆ มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในยุค New Normal ที่ต่างก็อพยพมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากมาย หลักสูตรใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ก็ล้วนตั้งราคาให้ผู้คนเข้าถึงได้ แล้ว Differentiation หรือการสร้างความแตกต่างให้กับหลักสูตรหรือการเข้าสู่ระบบการปรึกษากับโครงการ Xtaligence คืออะไร

 

โชติกา ชี้ประเด็นความแตกต่างของ Xtaligence ให้เห็นว่า

หนึ่ง -  เป็นฮับของผู้เชี่ยวชาญแบบไม่จำกัดค่าย

"โครงการของเราเป็นแหล่งรวมผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์เป็นพื้นที่เปิดสำหรับโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างหลากหลายโดยไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องมาจากสังกัดของหน่วยงาน หรือมหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้น ทำให้ร่นระยะเวลาการแสวงหาโค้ช หรือผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ระบบของเรายังสามารถ Track ย้อนหลังได้ด้วยว่า เราได้รับการโค้ชเรื่องอะไรไป การบ้านที่ได้รับมอบหมาย เช่น ต้องศึกษาค้นคว้า เพื่อเรียนรู้เรื่องอะไร สำหรับการเรียนในครั้งหน้า และมีการประเมินผลแบบสองทาง นั่นคือ โค้ชประเมินผู้เรียน ขณะที่ผู้เรียนก็สามารถประเมินโค้ชได้เช่นกันว่าทำหน้าที่พี่เลี้ยงหรือเทรนเนอร์ได้ดีหรือไม่ หรือสื่อสารเพื่อการปรับการเทรนนิ่ง" โชติกากล่าว

 

สอง - ใช้เวลาน้อย ใช้งานได้จริง

คุณสมบัติข้อนี้ตอบโจทย์แน่ๆ เพราะกว่าจะได้ผู้เชี่ยวชาญที่ใช่ ก็เสียเวลาไปรอบหนึ่งแล้ว ส่วนจะได้ผลจริงหรือไม่ก็ต้องลองกันอีกรอบ แต่สำหรับ Xtaligence ใช้ระยะเวลาเรียนเฉลี่ย 3-6 เดือนก็สามารถนำไปใช้งานได้จริง

"เนื่องจากในระดับสตาร์ทอัพ หรือเอสเอ็มอี อาจมีปัญหาเรื่องการทำบัญชี การทำระบบฯลฯ ซึ่งการจ้างที่ปรึกษาก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ใช้ระยะเวลานาน และอาจไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษา แต่สามารถเรียนรู้จากโครงการ Xtaligence ได้ โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็จะสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ได้ ทั้งนี้ หลักสูตรหลักๆ ที่มีจะเน้นด้านธุรกิจครอบครัว หลักสูตรที่มี เช่น การตลาด การสร้างแบรนด์ การจัดการธุรกิจ ภาวะผู้นำ Growth Mindset ฯลฯ เป็นองค์ความรู้ทั้ง Hard  Skil, Soft Skill”

 

สาม - ราคาเข้าถึงได้

อัตราค่าโค้ชคิดเป็นรายชั่วโมง เริ่มต้นที่ 1,000 บาทแล้วแต่อัตราของโค้ชแต่ละท่าน แต่ทั้งนี้ อัตราที่กำหนดใน Xtaligence ถือว่าเป็นราคาพิเศษที่ถูกกว่าอัตราค่าปรึกษาโดยปกติของโค้ชมากๆ

 

ความคาดหวัง

"โครงการ Xtaligence ได้รับความสนใจอย่างมากจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่ต้องการนำไปใช้กับหอการค้าต่างๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนธุรกิจเอสเอ็มอี และประชาชนทั่วไป เราคาดหวังว่า ภายในสิ้นปีนี้ โครงการ Xtaligence น่าจะทำให้หลายๆ องค์กรและหลายๆ คนสามารถพัฒนาศักยภาพได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อมีผู้เข้ามาใช้งานมากขึ้นก็จะต่อยอดพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันต่อไป

เราอยากให้ทุกคนสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ค้นพบตัวเองจากการโค้ช ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ มีความมั่นใจขึ้น และสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ และในช่วงนี้ที่หลายคนอาจต้อง  Work From  Home ก็ทำให้มีเวลาพัฒนาตนเองมากขึ้น และเมื่อกลับเข้าไปทำงานในโหมดปกติก็จะสามารถทำงานให้กับองค์กรได้ดียิ่งขึ้น" โชติกากล่าว

 

 

ที่มาโครงการ  ClassMonster

ขณะที่ ก้องภพ ผู้จัดการ โครงการ ClassMonster ได้กล่าวถึงที่มาของโครงการฯ ว่า

"ในฐานะที่เป็น Gen Z กล่าวได้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่เพิ่งจบการศึกษาและอยู่ในช่วงวิกฤติโควิด-19 พอดี จบมาต้อง Work From Home (WFH) แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เห็นประโยชน์ของ WFH เช่นกันว่า ต่อไปเราก็คงไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงานทุกวัน ส่วนมนุษย์เงินเดือนอีกหลายคนก็คงมานั่งทบทวนว่า ตนเองก็ได้รับผลประโยชน์จาก WFH โดยเฉพาะเวลาและค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเสียไปกับการเดินทาง ทำให้ได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ได้ทำอะไรตาม Passion ที่มี ขณะที่องค์กรก็คาดหวังประสิทธิภาพ หรือศักยภาพที่ดีขึ้นจากการทำงาน"

 

นี่จึงเป็นที่มาของ ClassMonster โครงการที่จะเข้ามา Connet The Dots ด้วยการเป็นตัวกลางเพื่อเข้ามาตอบโจทย์ในฟากของพนักงาน มนุษย์เงินเดือน หรือแม้แต่วัยเกษียณ วัยที่ต้องเตรียมตัวก่อนเกษียณ เพื่อ 'อัพ-สกิล & รี-สกิล' (Up-Skill & Re-Skill) ทางออนไลน์ ส่วนองค์กรก็สามารถตรวจสอบการเทรนนิ่งของพนักงาน ตลอดจนสามารถดูพัฒนาการของการเรียน การฝึกอบรม ซึ่งจะมีการแสดงผลแบบเรียลไทม์หลังจากที่เรียนเสร็จบนกระดาน Dashboard ทางออนไลน์

นอกจากมนุษย์เงินเดือน ซึ่งอยู่ในวัยทำงาน เหตุใดคน Gen Z อย่าง ก้องภพ ที่ยังมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในองค์กรน้อยมากจึงสนใจการทำเทรนนิ่งกับกลุ่มประชากรอาวุโส ทั้งวัย 60+ และวัยเตรียมเกษียณ ซึ่งเขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า  'กลุ่ม Platinum'

 

 ก้องภพ กล่าวว่า "ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ ความใส่ใจกับสุขภาพและ Well-Being ทำให้ผู้สูงอายุในยุคนี้ยังคงมีสุขภาพที่ดี ยังคงมีความชาญฉลาด เฉียบแหลมไม่ต่างกับคนวัยทำงาน ที่สำคัญ ยังสั่งสมองค์ความรู้ ประสบการณ์มาตลอดชีวิตการทำงาน หากสังคม หรือองค์กร หรือแม้แต่ตัวกลุ่ม Platinum เองไม่ได้เตรียมการหลังวัยเกษียณก็จะทำให้เราไม่ได้ใช้ประโยชน์จากคนกลุ่มนี้เท่าที่ควรจะเป็น และถ้าคนกลุ่มนี้ว่างงาน แน่นอนว่า คนกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นภาระให้กับระบบเศรษฐกิจและคนรุ่นถัดไปด้วย นี่จึงทำให้เราต้องการปิดPain Point ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ด้วยโครงการ ClassMonster ซึ่งให้บริการผ่านเว็บไซต์ ClassMonster.com และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในสิ้นปีนี้"

 

"วัตถุประสงค์ของโครงการ ClassMonster คือ การทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการ 'อัพ-สกิล & รี-สกิล' (Up-Skill & Re-Skill) ให้กับมนุษย์เงินเดือนใช้หารายได้หลังเกษียณได้ อาทิ ทักษะทางด้านธุรกิจที่ลึกลงไปมากกว่าการซื้อมาขายไป เช่น อี-คอมเมิร์ซ หรือแพลตฟอร์มต่างๆ, ทักษะทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งคอร์สแบบนี้คนรุ่นใหม่อาจจะสนใจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ดาต้าเข้ามาช่วย หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต, ทักษะทางด้าน Soft Skill เช่น การพัฒนาตนเอง (Self Improvement) ซึ่งทักษะตรงนี้คนไทยก็ยังขาดอยู่มาก เนื่องจากการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษามักจะให้กันแต่องค์ความรู้โดยตรง ซึ่งเป็น HArd Skill แต่ไม่ได้ใส่ Soft Skill เข้าไป นอกจากนี้ ClassMonster ยังมีพอดแคสต์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถฟังได้เวลาว่างๆ เช่น ขณะขับรถ หรือขณะทำงานไปด้วยได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียน"  

 

ความแตกต่าง

ระหว่างการพัฒนาเว็บไซต์ ClassMonster เพื่อใช้งานจริงในสิ้นปีนี้ ก้องภพกล่าวถึงสิ่งที่โครงการนี้จะต้องก้าวข้ามเพื่อสร้างความแตกต่าง และเป็นความท้าทายที่เผชิญอยู่ว่า

หนึ่ง - ต้องสนุก เราอยากให้ลักษณะการเรียนแตกต่างไปจากรูปแบบเดิม ต้องการให้คนเรียนรู้สึกสนุก เพลิดเพลินกับการเรียนมากขึ้น เหมือนกับชื่อของโครงการที่ได้มาจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Pixar เรื่อง Monster University ที่บรรดา Monster ในภาพยนตร์ก็ใช้ชีวิตวัยเรียนกันย่างสุดมันส์ เราเองก็ต้องการให้คนที่เข้ามาเรียนกับเราได้ความรู้สึกเช่นนั้นด้วย เนื่องจากต้องยอมรับว่า คนที่จะเรียนออนไลน์ได้จะต้องมี Passion และใช้พลังมาก โดยเฉพาะคอร์ส Processional

นอกจากนี้ ความแตกต่างของ Courseware ที่ทำให้ผู้เรียนสนุก หรือ 'อิน' กับการเรียน คือ การสื่อสารสองทาง ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้นจากอินเตอร์แอคทีฟ นอกจากนี้ ก็มีการประเมินผลจากแบบทดสอบใน Courseware โดยจะแสดงผลบนกระดานDashboard ทำให้ผู้เรียนสามารถทราบถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองได้  และหากการเรียนใน ClassMonster ยังไม่เพียงพอก็ยังมีโครงการ Xtaligence เพื่อเรียนเพิ่มเติมอีกด้วย

 

สอง ต้องเขย่า  เนื่องจากโครงการนี้ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายของโครงการนี้ด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าองค์กรจะต้องปลั๊ก หลักสูตรการเทรนนิ่งของ ClassMonster กับ KPI ขององค์กร นั่นก็แปลว่า ทั้งองค์กรก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ของเราด้วย ซึ่งแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องในอนาคต แต่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ ถ้าเราต้องการผลลัพธ์ที่ดี เราก็ต้อง Keep it Info ด้วย

 

สาม -ต้องง่าย โจทย์สำคัญ คือ ต้องUser Friendly ต้องใช้ง่าย ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากด้วยในขณะเดียว คือ ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงระบบแล้วสามารถใช้งานได้ง่าย และรวดเร็ว เพราะการเข้าถึงได้ง่ายถือเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใดก็ตาม

 

สี่ - ต้องถูก เพื่อให้ ClassMonster สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ทุกวัย รวมถึงธุรกิจตั้งแต่เล็ก อย่างสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี จนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ โครงสร้างราคาจึงต้องจับต้องได้ ซึ่งโครงการนี้คิดค่าบริการเป็นค่าสมาชิกรายเดือน เริ่มต้นที่ 319 บาท/เดือน ซึ่งเป็นราคาที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ผ่านทางเว็บไซต์ ClassMonster แต่สำหรับหลักสูตร Professional Certification ซึ่งเป็นหลักสูตรอินเตอร์แอคทีฟและมีวุฒิบัตร (Certification) ให้สำหรับ B2B, B2C นั้นจะเป็นแพ็กเกจแยก กล่าวคือ จะมีอัตราแพ็กเกจขององค์กรในส่วนของ B2B และแพ็กเกจแยกสำหรับ ประชาชนทั่วไป

 

การเตรียมแม่ทัพเศรษฐกิจรุ่นต่อไป

ก้องภพ สะท้อนมุมมองของตนเองกับองค์กร เพื่อเตรียมสร้างแม่ทัพเศรษฐกิจรุ่นต่อไปว่า

"เราอยากให้องค์กรในยุคนี้มองและพัฒนาบุคลากรในระยะยาวด้วยว่า เมื่อพนักงานเกษียณแล้วก็ควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ โดยมองไปถึงการสร้างอาชีพ สร้างรายได้หลังเกษียณ  ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งกับ 'องค์กร - พนักงาน - สังคม' และทำให้พนักงานก็จะมีความภักดีกับองค์กรมากขึ้น เนื่องจากได้รับรู้ถึงปรัชญาการดำเนินธุรกิจขององค์กรที่ทำเพื่อบุคลากร ขณะเดียวกัน กลุ่ม Platinum เหล่านี้ก็จะไม่เป็นภาระกับคนรุ่นหลัง เนื่องจากคนวัยเกษียณบางคนยังแข็งแรงอยู่เลย มีวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์ มีความรู้และประสบการณ์ดีมาก

ดังนั้น เมื่อได้เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมจาก ClassMonster ก็จะทำให้คนเหล่านี้ทราบว่าหลังเกษียณตนเองจะไปทางไหนต่อ ขณะเดียวกัน การที่มี ClassMonster เข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนของบุคลากรในองค์กรก็ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร สำหรับการเทรนนิ่งบุคลากรด้วย ขณะเดียวกันในส่วนของบัณฑิตจบใหม่หรือพนักงานที่ต้องพัฒนาศักยภาพของตนเอง ด้วยหลักสูตรออนไลน์นี้ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ทั้งนี้ ClassMonster จะให้บริการในส่วนของ Professional Certification ได้ในปี 2565  ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรเราได้เตรียมการสำหรับหลากหลายอาชีพ เช่น ความรู้ที่จำเป็นสำหรับ Junior Marketer, ความรู้ทางด้าน Data Science สำหรับคนที่ไม่จำเป็นต้องจบทางด้านวิศวะก็ได้ ฯลฯ"

 

[อ่าน 2,280]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โค้ก - เป๊ปซี่ - เอส ร่วมวงสาดแคมเปญหน้าร้อน เปิดศึกชิงตลาดน้ำอัดลม 66,000 ล้าน
สร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ด้วยการตลาดแบบยั่งยืน (Sustainability Marketing)
“สะสม” แค่กระแส หรือจงรักภักดี
ฉากทัศน์แห่งความรุ่งเรืองของธุรกิจ Art Toy ในประเทศไทย
The Charming Business of Art Toy
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เสริมแกร่งธุรกิจครอบครัวสู่การเติบโตยั่งยืน
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved