YourNextU ที่สังคมไทยอาจไม่คุ้นชื่อนัก ทว่า ล่าสุด ได้รีแบรนด์ตนเองสู่ YourNextU School of Life หรือ ‘ศูนย์รวมวิชาชีวิต’ ซึ่งเป็นแบรนด์ธุรกิจความรู้ผ่านการสร้างทักษะวิชาชีวิต (Soft Skills) ในพอร์ตโฟลิโอของ SEAC (ซีแอค) ผู้นำด้านการพัฒนาศักยภาพคนและองค์กร เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ภายใต้การนำของแม่ทัพคนใหม่ 'บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์' กรรมการผู้จัดการ YourNextU by SEAC ผู้บริหารมือดีที่สร้างผลงานแบบ Disruptor มาแล้วตั้งแต่อยู่ที่ บมจ.บัตรกรุงไทย หรือ เคทีซี และ ‘บาร์บีคิว พลาซ่า’ แบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ ของ ‘ฟู้ดแพชชั่น’

สำหรับครั้งนี้ เมื่อเธอทะยานสู่ธุรกิจความรู้ในเซ็กเมนต์ของ ‘การสร้างทักษะวิชาชีวิต’ (Soft Skills) ซึ่งสังคมไทยและโลกธุรกิจอาจจะยังไม่ตระหนักกันมากนัก นี่จึงเป็นความท้าทายสำหรับ บุ๋มบุณย์ญานุช ว่า เธอจะสามารถสร้าง Track Record ในฐานะ Disruptor และปั้นทรัพยากรบุคคลของสังคมไทยให้มุ่งเป้าสู่ ‘ดาวเหนือ’ ได้อย่างไร

ที่มาของ The New Chapter ls ที่ YourNextU School of Life คืออะไร

ตอนออกมาก็อยากรู้ว่า ถ้าเราออกมาแล้วว่างๆ จะมีอะไรให้เราทำบ้าง เพราะเราเองอยากเรียนรู้กับหลายๆ ธุรกิจว่าแต่ละธุรกิจทำอะไรกัน และอยากมีโอกาสสร้างคนเก่ง อีกอย่างโดยส่วนตัวก็รู้จัก SEAC มานาน 7-8 ปีแล้ว เนื่องจากบาร์บีคิวพลาซ่าใช้บริการเทรนนิ่งของ SEAC และจากประสบการณ์ที่มี SEAC ทำให้เรารู้สึกว่า เราอยากเทรนให้ได้อย่างนี้ เพราะเป็นการเทรนที่สนุกดีและมี Methodology (วิธีการ) อะไรทำไมจึงเทรนแบบนี้ได้ 2) เกิดคำถาม What if? กับเราเองว่า ถ้าเราเป็นเทรนเนอร์ เราเชื่อว่า เราสอนได้สนุกกว่านี้หรือเปล่า หรือถ้าเราเป็นเขา เราจะทำอย่างไร 3) ความรู้ที่ได้จากการเทรนนิ่งมีข้อคิดที่น่าสนใจ และทำให้บางครั้งก็แอบหยิบข้อคิดของเขาไปใช้ และทำให้เราคิดว่า ความรู้ดีๆ อย่างนี้น่าจะแบ่งปันให้คนที่ไม่ได้อยู่บริษัทใหญ่ๆ ได้เรียนรู้บ้าง และจากการที่บริษัทนี้เป็นธุรกิจ People Organization Improvement ก็ทำให้เราเองก็ได้รับความรู้ใหม่ๆ จากองค์กรนี้ ขณะเดียวกัน เราก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมไทย ประเทศไทยให้ดีขึ้นอีกด้วย

ที่สำคัญ ที่นี่ตอบโจทย์ทั้ง Purpose & Passion ของตนเอง เพราะอยากสร้างให้ที่นี่เป็นฐานทัพยิงจรวดสู่ดวงจันทร์ให้กับเด็กๆ และคนรุ่นใหม่ โดยที่เราอยากจะอำนวยความสะดวกให้กับคนเหล่านี้ โดยมี SEAC ที่ทำหน้าที่เสาะหาบุคลากรที่เจ๋งๆ ระดับโลกให้เข้ามาอยู่ตรงนี้ พร้อมผลิตบุคลากรเจ๋งๆ จาก SEAC เอง ด้วยการเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม จากเดิมที่เป็น Exclusive ให้เป็น Inclusive

แล้วนิยามของ YourNextU School of Life คืออะไร

YourNextU School of Life คือ ศูนย์รวม ‘วิชาชีวิต’ ที่เข้าถึงผู้คนได้ทั้งแบบองค์กรและแบบปัจเจกบุคคล พูดให้ชัด คือ YourNextU School of Life เป็นแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ ภายใต้ SEAC ซึ่งเป็น Corporate Brand และเน้นทำธุรกิจฝึกอบรม ออกแบบองค์กรและทำธุรกิจแบบ B2B เป็นหลัก

‘วิชาชีวิต’ จำเป็นแค่ไหน สำคัญกับคนยุคนี้อย่างไร

ตอนเด็กๆ เคยสงสัยหรือเปล่าว่า ทำไมเราต้องเรียนวิชาการอะไรต่างๆ นานาแล้วเรียนไปทำไม จนถึงวันนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ แล้วเคยมีคำถามกับตนเองหรือไม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำเป็นต้องเรียนเก่งเท่านั้นหรือไม่ แล้วคนในสังคมปกติที่ไม่ได้เรียนเก่ง ไม่มีเส้นสาย ฐานะธรรมดาๆ จะประสบความสำเร็จไม่ได้หรือ

ขณะที่การเรียนในตำราไม่ได้สอนให้เราเก่งในชีวิตจริง และเราเองก็อยากให้โอกาสกับคนธรรมดาๆ เหล่านี้ได้พัฒนาตนเอง เราจึงเป็นตัวแทนของคนเรียนไม่เก่ง และมีโปรไฟล์ธรรมดาๆ ให้สามารถประสบความสำเร็จได้ ด้วยการพัฒนา Soft Skill หรือ ‘ทักษะการใช้ชีวิต’ ซึ่งเป็นทักษะทางสังคม อุปนิสัย บุคลิกภาพ ทัศนคติ และชุดความคิด (Mindset)  ที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสังคม รวมถึงการสื่อสาร ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ฯลฯ ซึ่งSEAC มีเครื่องมือในการพัฒนา พร้อมเปิดหลักสูตรวิชาชีวิตในเบื้องต้น 5 วิชา ทั้งแบบเรียนด้วยตนเองที่เซ็นเตอร์ กับเรียนแบบ Webinar บนแอปพลิเคชัน Zoom ประกอบด้วย

1). คิดนอกกรอบ พลิกปัญหาเป็นโอกาส ด้วย Growth Mindset การฝึกคิดเพื่อสร้างมายด์เซ็ตให้เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ กล้าคิด กล้าทำ กล้าริเริ่มสิ่งใหม่ ลดเงื่อนไขในชีวิต กล้าคิดนอกกรอบ พร้อมออกจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อเติบโตอย่างมั่นคงในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

2). เปิดใจรับฟัง อยู่ร่วมกันแบบ Win-Win ด้วย Outward Mindset เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น ผ่านการมองโลกในมุมใหม่ และหาทางอยู่ร่วมกันแบบ Win-Win และแฮปปี้กว่าเดิม เน้นให้เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น ทั้งในที่ทำงานและชีวิตส่วนตัว

3). ​อ่านคนให้ออก โน้มน้าวคนให้เป็น ไปกับ The Four Houses of DISC ศาสตร์แห่งการสื่อสารและเข้าใจพื้นฐานของคน โดยหลักสูตรนี้จะแบ่งคนบนโลกเป็น 4 ประเภท และจะสอนให้เราเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคน 4 ประเภทนี้ โดยจะทำให้เราเริ่มเรียนรู้ตัวเอง รู้ใจคนอื่นด้วยหลักจิตวิทยาบุคลิกภาพ เข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อน รวมถึงที่มาที่ไปของพฤติกรรมของคน 4 ประเภท ได้เรียนรู้วิธีสื่อสารกับคนหลากหลายสไตล์เพื่อให้เกิดความเข้าใจและอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

4). ใช้อารมณ์อย่างฉลาด ด้วย Emotional Intelligence เข้าใจผลกระทบที่เกิดจากอารมณ์ และวิธีควบคุมอารมณ์ภายใต้สถานการณ์ที่กดดัน ช่วยให้คุณรู้เท่าทันตัวเอง และพร้อมพัฒนาทักษะการเข้าสังคมและการโน้มน้าวใจคนอื่นได้เป็นอย่างดี

5). ปลุกภาวะผู้นำตนเอง มุ่งสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องรอคำสั่งด้วย Self-Leadership เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ ด้วยการปลุกภาวะผู้นำในตัวคุณขึ้นมา ให้คุณเป็นคนที่กล้าลุกขึ้น มาสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง โดยไม่รอโอกาสหรือความช่วยเหลือจากใคร

มนุษย์ 4 ประเภทของ The Four House of DISC เป็นอย่างไร

DISC เป็นจิตวิทยาด้านบุคลิกภาพที่ใช้วัดพฤติกรรมมนุษย์ที่จะช่วยเรารู้จักและเข้าใจผู้คนเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เราสามารถกระจายงานให้กับกลุ่มคนประเภทต่างๆ รับผิดชอบได้ดีขึ้นและตรงกับธรรมชาติของคนๆ นั้น นั่นคือ

• D (Dominance) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับอำนาจ สื่อสารด้วยการบอกหรือสั่ง ชอบงานท้าทายและผลตอบแทนที่คุ้มค่า กลัวความล้มเหลว
• I (Influence) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับคน สื่อสารด้วยการชักชวนหรือเกลี้ยกล่อม สิ่งที่จูงใจมาจากการยอมรับความสามารถและยอมรับจากสังคม กลัวการถูกปฏิเสธและกลัวคนอื่นไม่รัก
• S (Steadiness) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับขั้นตอนและประสบการณ์ สื่อสารด้วยการฟัง เป็นพวกสุขุม ต้องจูงใจด้วยความมั่นคงและการยอมรับ กลัวความไม่มั่นคง
• C (Compliance) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับนโยบาย ชอบคิดวิเคราะห์ ลงรายละเอียดมาก สื่อสารด้วยการเขียนหรือสื่อสารอย่างเป็นทางการ ต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบ และมีความชัดเจน มีกฎระเบียบแน่นอน กลัวความขัดแย้ง

จากการที่เราพบเจอกับองค์กรต่างๆ อะไรคือสิ่งที่องค์กรไทยเข็นไม่ไปจริงๆ

วัฒนธรรมองค์กรมีส่วนสำคัญอย่างมากที่จะมีส่วนทำให้องค์กรนั้นประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว จากการที่เราได้คุยกับเจ้าของกิจการหลายแห่ง เราก็จะรู้ได้ทันทีว่า องค์กรนี้ ‘คลิก’ หรือ ‘ไม่คลิก’ เพราะ Leader is Culture ผู้นำองค์กรเป็นอย่างไร วัฒนธรรมองค์กรก็จะเป็นอย่างนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีตัวแปรทางด้านโครงสร้างองค์กร และทักษะของทีมงาน ซึ่งหากองค์กรใดที่มีตัวแปรทั้งสามนี้ ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมองค์กร โครงสร้างองค์กร ชุดความคิดและทักษะของพนักงาน ที่มีส่วนเอื้อต่อกันก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายมาก

แล้วเราจะทำให้สามตัวแปรนี้แมตช์กันและขับเคลื่อนได้

เราต้องรู้ว่า เราอยากไปไหนและสื่อสารได้ด้วย เพราะมีเหมือนกันที่ผู้บริหารระดับสูงรู้ว่า ตนเองอยากจะไปไหน แต่สื่อสารไม่เป็น แบบนี้ก็ไม่ได้ แต่ที่หนักกว่าก็คือ ผู้บริหารระดับสูงไม่รู้ว่าตนเองจะไปทางไหน ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาจากการรับสารที่เป็นแนวความคิด (Conceptual) จากเบอร์หนึ่งมาแล้ว แต่มีปัญหาการส่งสารผ่านกันตามลำดับชั้น (Cascade) ไปถึงระดับรองๆ ทำให้ทีมงานไม่เข้าใจว่า สารที่รับมาคืออะไร และจะเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายตรงนั้นอย่างไร ดังนั้น จึงต้องรู้ว่า

1) ‘ดาวเหนือ’ หรือป้าหมายของตนเองอยู่ตรงไหน เพราะจะไปเชียงใหม่ ภูเก็ตก็ออกแบบการเดินทางไม่เหมือนกัน

2) เมื่อกำหนดดาวเหนือแล้วก็ต้องจัดโครงสร้างเลย เพราะโครงสร้างคือการจัดทัพ จัดทักษะในทีม และตัวเล่นหลักในแต่ละทีม แต่ละคนคือใคร

3) การออกแบบกลยุทธ์ เพื่อการแข่งขันในสนามธุรกิจว่าเราจะแข่งขันอย่างไร

4) การนำไปปฏิบัติ (Implement) จะทำอย่างไร จะตัดท่อน หรือทำบางชิ้นก่อน ฯลฯ

5) ต้องมอนิเตอร์ทีมอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เพื่อดูว่า เราจะสนับสนุนทีมงานได้อย่างไรบ้าง ไม่ใช่การจับผิด

ความท้าทายของ Disruptor คนนี้กับธุรกิจนี้คืออะไร

(หัวเราะ) ความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ของธุรกิจความรู้ คือ ความรู้ไม่ใช่ปัจจัย 4 ไม่มีใครที่ตื่นขึ้นมาแล้วหิวความรู้เหมือนหิวอาหาร ดังนั้น นี่จึงเป็นความท้าทายอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราก็ต้องทำให้คนตระหนักก่อนว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไร เพราะโดยส่วนตัวมองว่า การเรียนหนังสือคือการเปลี่ยนพฤติกรรม และต้องเปลี่ยนอีกหลายขั้นตอนกว่าจะเปลี่ยนไปได้จริง ไม่สามารถเปลี่ยนปุบปับได้ โดยจะต้องมาจาก ‘รู้จัก – เข้าใจ – ลองทำ – ทำบ่อยๆ’ จากนั้นจึงจะเกิดเป็น ‘พฤติกรรม’ เหมือนทุกคนรู้ว่า ความอ้วนหรือการสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดี แต่ทำไมคนก็ยังอ้วนหรือยังเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ นั่นเพราะแม้จะ รู้– เข้าใจ’ แต่ไม่ได้ ‘ลองทำ – ทำบ่อยๆ’ จึงไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้

‘ธุรกิจความรู้ ‘คือ ‘ธุรกิจร้อยลี้’ คนจะลงทุนทำธุรกิจนี้ ต้องมีใจรักจริงๆ เพราะไม่ได้เงินคืนทันที และเป็นธุรกิจของการให้ เป็นธุรกิจที่ดีต่อใจ แต่จะดีกับ ‘กระเป๋าเงิน’ หรือไม่ ก็ต้องดูแผนธุรกิจและแผนการลงทุนควบคู่กันไป

ตั้งเป้าหมายกับ YourNextU School of Life  อย่างไร

วางแผนไว้ว่า เราจะต้องมีจำนวนแฟนในอีก 3 ปีที่ 5 แสนคนจากฐานปัจจุบันที่มีอยู่ 4.8 หมื่นคน โดยต้องสร้างฐานคนเหล่านี้ของเราให้เป็น Brand Lover เพราะเราจะไม่สามารถนำพาคนเหล่านี้เข้ามาได้ ถ้าไม่มีกระบวนการ ‘รู้จัก – เข้าใจ – ลองทำ – ทำบ่อยๆ’ จนเกิดเป็น ‘พฤติกรรม’ ใหม่