ในปัจจุบัน ความต้องการของผู้บริโภคและตลาดโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์ Covid-19 เศรษฐกิจมีความผันผวนทั่วโลก ต้นทุนหลายอย่างมีการเพิ่มสูงขึ้น พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความไม่แน่นอน ทำให้เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ ด้วยการหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ และนำมาวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถดำเนินไปได้ตามแผนงานให้มากที่สุด
สำหรับคอลัมน์ Marketing 101 ในฉบับนี้จะพาทุกคนมารู้จัก 7 เทรนด์การตลาดที่น่าจับตามองในปี 2023 ซึ่งเป็นแนวทางให้กับเจ้าของแบรนด์และทุกคนสามารถนำไปวางแผนเตรียมเพื่อความพร้อมในการกับธุรกิจของตัวเองในปี 2023 ที่จะมาถึงนี้ จะมีอะไรกันบ้างติดตามกันได้เลย
1. แบรนด์ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและมุ่งสู่การพัฒนาความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้บริโภคมักจะตัดสินใจซื้อสินค้า โดยพิจารณาจากคุณสมบัติของสินค้ารูปแบบการใช้งานรวมถึงราคาที่สมเหตุสมผลก็สามารถดึงดูดให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าได้ แต่ในยุคปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้บริโภคจะพิจารณาสินค้าบริการที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม และจากผลการตอบแบบสำรวจของ McKinsey & Co. พบว่า 75% ของคน Gen Y มีความเต็มใจที่จะซื้อสินค้าที่ราคาสูงขึ้น หากแบรนด์สินค้านั้นสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าและสอดคล้องกับค่านิยมที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
2. วิดีโอแบบสั้น (Short Video) ผ่าน TikTok และ Instagram ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบันนี้ สื่อ TikTok ยังคงเป็นสื่อที่เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดควรให้ความสำคัญ ซึ่ง TikTok นี้ มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 1 พันล้านคนทั่วโลกและยังคงมีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดสามารถใช้ TikTok ในการนำเสนอเนื้อหา (Content) ของแบรนด์ เช่น การให้ความรู้ หรือใช้เพื่อความบันเทิง โดยผ่านรูปแบบของวิดีโอแบบสั้น (Short Video) เป็นต้น ซึ่งประโยชน์ของการนำเสนอวิดีโอแบบสั้นนี้ ไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้นในเวลาสั้นๆ แต่ยังเป็นการตลาดอีกรูปแบบที่ทำให้แบรนด์มีตัวตนที่เด่นชัดอีกด้วย ซึ่งนอกจากที่ TikTok แล้ว แอป ยอดนิยมอย่าง Instagram ก็มีการพัฒนาฟีเจอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงผู้ใช้ให้มากขึ้นด้วยวิดีโอสั้นเช่นกัน โดยพยายามดึงดูดผู้ใช้ให้หันมาใช้ฟีเจอร์ Reels มากขึ้นอีกด้วย
3. สร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าบริการด้วยอินฟลูเอนเซอร์และลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการ
การนำอินฟลูเอนเซอร์และกลุ่มลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการ ได้กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น จากข้อมูลของ Consumer Acquisition ในปี 2022 เนื้อหา (Content) รูปแบบวิดีโอของการให้ลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการได้เข้ามาให้ข้อมูลนั้น มีอัตราเพิ่มขึ้นกว่า 12 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหา (Content) วิดีโออื่นๆ และยังมีอัตรา Conversion เพิ่มขึ้น 28% เมื่อมีการนำเนื้อหา (Content) วิดีโอของลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการร่วมกับรูปแบบของเนื้อหา (Content) ที่ต้องมีการชำระเงิน นอกจากนี้ 77% ของจำนวนแบรนด์ทั้งหมดที่มีการเก็บข้อมูลมานั้นได้ใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นเครื่องมือทำการตลาดอีกด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้เราเห็นว่าการใช้อินฟลูเอนเซอร์และลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการจากแบรนด์สามารถช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและยังช่วยปรับภาพลักษณ์แบรนด์ ผ่านการพูดคุย นำเสนอ ให้คำปรึกษา ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างใกล้ชิดและรวดเร็วที่ดีอีกวิธีหนึ่งเลยทีเดียว
4. โลกแห่ง Metaverse ช่วยเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ได้มากยิ่งขึ้น
Search Engine Journal มองว่า Metaverse จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกแบรนด์ เช่น แบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างๆ อย่าง Disney, Nike และ Gucci แบรนด์เหล่านี้กำลังสร้างพื้นที่สำหรับโลกแห่งดิจิทัล เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่โลกเสมือนจริง (Virtual Realities) ถึงแม้ว่าภาพจำใน Metaverse ของผู้บริโภคมีต่อแบรนด์อาจจะยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร และในขณะเดียวกันแบรนด์ก็อาจจะยังไม่สามารถแสดงศักยภาพตนเองผ่านช่องทาง Metaverse ได้ดีเท่าที่ควร แต่การที่แบรนด์ให้ความสำคัญกับโลกออนไลน์ การแสดงตัวตน การสร้างชุมชนดิจิทัลผ่านโลก Metaverse เช่นการนำเทคโนโลยี AR/VR เข้ามาใช้งาน ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้ซื้อได้ง่ายขึ้น
5. การสื่อสารที่รวดเร็วจะทำให้ผู้บริโภคประทับใจ
จากที่กล่าวไปข้างต้น ผู้บริโภคไม่เพียงต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ พูดคุยกับอินฟลูเอนเซอร์ หรือลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการ เพื่อพิจารณาความน่าเชื่อถือของแบรนด์นั้นๆ แต่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายยังต้องการ ‘ความรวดเร็ว’ ในการให้บริการตอบกลับจากเจ้าของแบรนด์อีกด้วย องค์กรหลายแห่งจึงเลือกใช้ ChatBots ในการตอบกลับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าผ่านข้อความหรือเสียงแบบอัตโนมัติ ซึ่งการตอบกลับที่รวดเร็วนั้นนอกจากตอบสนองความต้องการของผู้ที่จะซื้อได้อย่างทันท่วงที ยังสามารถช่วยให้แบรนด์ปิดงานขายได้เร็วขึ้นอีกด้วย ซึ่งข้อมูลของบริษัทแห่งหนึ่งจากสถาบันวิจัย Drift กล่าวถึง การสื่อสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสามารถลดระยะเวลาการขายจาก 6 เดือนเหลือเพียง 12 วัน เลยทีเดียว
6. Personalized Marketing ทำให้ลูกค้ารู้สึกสำคัญ
ปัจจุบัน การจับจ่ายในตลาดตลาดส่วนใหญ่จะถูกขับเคลื่อนด้วยคน Gen Y และ Gen Z ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้กลายเป็นผู้บริโภคหลักของโลก เพราะฉะนั้น เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดจึงจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นและหาวิธีการเข้าถึงพวกเขาให้มากที่สุด ถึงแม้ว่าอายุของทั้งสอง Generation จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่หากพิจารณาถึงพฤติกรรรมของกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนี้แล้ว กลับพบว่าพวกเขามีมุมมอง ทัศนคติต่อสังคมที่คล้ายกัน เช่น การเปิดกว้างทางความคิด ให้การสนับสนุนแนวทางการสร้างสรรค์ สนใจสิ่งใหม่ๆ โดยใช้เทคโนโลยีค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง ความรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และต้องการแบรนด์สินค้าบริการที่มีความโปร่งใสและใส่ใจลูกค้าและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ยังคงมีต้องการรูปแบบความพิเศษจากแบรนด์สินค้าและบริการที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ผ่านข้อมูลที่พวกเขาสามารถแชร์กับแบรนด์ได้
โดย Smarter HQ กล่าวว่า “ 90% ของผู้บริโภคบอกว่าพวกเขาเต็มใจที่จะให้ข้อมูลพฤติกรรมของพวกเขา หากมีการมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ทำให้การซื้อสินค้าและบริการในราคาพิเศษและง่ายขึ้นกว่าเดิม” จะเห็นได้ว่าจากข้อมูลดังกล่าวทำให้เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องปรับตัว ฟังเสียงลูกค้ามากขึ้น รวมถึงพยายามหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าในแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ให้ความความรู้สึกพิเศษกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นนั้นเอง
7. ให้ความสำคัญของข้อมูล Zero-Party
เป็นที่ทราบกันดีว่า นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นไป Google จะทำการยกเลิก Third-party cookies ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลเมื่อมีผู้ใช้งานเข้าไปในเว็บไซต์นั้นๆ นั่นหมายความว่าบริษัทต่างๆ จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้อีกต่อไป สิ่งนี้นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทที่ต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และการรับมือกับวันที่ไร้ Third-party cookies ด้วยการใช้ ‘Zero-Party Data’ จากลูกค้าให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเจ้าของแบรนด์และนักการตลาดจะต้องหาวิธีการสร้างสรรค์เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด สร้างความไว้วางใจและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการให้ข้อมูลของตนเองนั้นปลอดภัย เป็นโอกาสให้พวกเขาได้แสดงตัวตนของตนเอง แสดงความคิดเห็น บอกความชอบและไม่ชอบ เพื่อให้เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดนำมาปรับปรุงและดูแลลูกค้าได้ดีขึ้น
ทาง Marketing 101 หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความ 7 เทรนด์การตลาดที่น่าจับตามองในปี 2023 ในฉบับส่งท้ายปี 2022 นี้ จะเป็นข้อมูลความรู้เบื้องต้นสำหรับเจ้าของแบรนด์ นักการตลาดและผู้สนใจทั่วไป ให้สามารถนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมในวางแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายขององค์กรในปี 2023 ที่จะถึงนี้ได้อย่างราบรื่น สวัสดีปีใหม่ครับ
บทความจากคอลัมน์ Marketing 101 ตีพิมพ์ ในนิตยสาร MarketPlus Magazine Issue 152