“ธรรมชาติ ธรรมชาติ ธรรมชาติ” ฟันธงไว้แบบนี้ตั้งแต่เริ่มเลยครับ แน่นอนว่าการท่องเที่ยวเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทยมานาน และก็คงจะเป็นแบบนี้ตลอดไป และไม่ว่าการพัฒนาจะเป็นไปในทิศทางไหน เราก็ยังคงพึ่งพิงธรรมชาติกันแบบเดิมๆ
ทะเลสวย น้ำใส ภูเขาเขียว ยังคงเป็นจุดขายที่สำคัญและใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย แน่นอนว่าอาจจะมีเรื่องของที่พักรูปแบบต่างๆ เช่น สวยงาม ทันสมัย บริการดี อาหารอร่อย แต่อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวก็ยังคงเลือกไปเที่ยวหรือพักผ่อนตามจุดหมาย (Destination) ที่ตั้งใจไว้อยู่ดี
เหมือนสวรรค์สร้างให้ประเทศไทยมีทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่แพ้ชาติใดในโลกมาตั้งแต่เริ่ม ทำให้นักท่องเที่ยวจากทุกประเทศหลั่งไหลมาเที่ยวชมในทุกจังหวัด
นับตั้งแต่ต้นปี 1 มกราคมถึงมิถุนายน 2566 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจำนวน 12,464,812 คน โดยนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเป็นอันดับที่หนึ่ง (ประมาณ 1.9 ล้านคน) จีนเป็นอันดับสอง (ประมาณ 1.3 ล้านคน) และรัสเซียเป็นอันดับสาม (ประมาณ 7.8 แสนคน) ตามมาด้วยเกาหลีใต้และอินเดีย
หลายภาคส่วนยังคงตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้เข้าประเทศไทยเป็นจำนวนถึง 5.3 ล้านคนในปีนี้ ถ้าดูจากค่าเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมาไทยถือว่าหืดจับครับ
ถึงแม้ช่วงไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน) จะเป็นหน้าไฮสำหรับนักท่องเที่ยวจีนก็ตาม เพราะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศอื่นๆ ที่ต้องการนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าท่านผู้อ่านทำธุรกิจท่องเที่ยวจริงๆ จะพบว่านักท่องเที่ยวจีนไม่ได้ใช้จ่ายมากเหมือนแต่ก่อน แม้ว่าระยะเวลาการพักในประเทศไทยจะยาวขึ้น ทำให้ดูเหมือนการใช้จ่ายจะสูงขึ้น
แต่ต้องลงไปดูในรายละเอียดว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้จ่ายกับธุรกิจอะไร ของใคร (ลองไปแถวรัชดาฯ ห้วยขวาง และจะพบกับอาณาจักรธุรกิจของคนจีนครับ)
แม้แต่บนเกาะสมุยที่ผู้เขียนเพิ่งลงไปทำงานมา แล้วเห็นสัญญานการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แต่ก็มีร้านรวงต่างๆ ของคนจีนกำลังก่อสร้างมากมาย
จึงคาดการณ์ได้ว่าคนจีนอาจจะเริ่มดำเนินธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทยและประเทศต่างๆ มากขึ้น เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวของชาติตัวเองที่เดินทางไปทั่วโลกนั่นเอง
สาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงคือลักษณะของการท่องเที่ยวที่เป็นแบบ FIT (Free Individual Traveler) หมายถึง นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาตามลำพังหรือการท่องเที่ยวแบบอิสระ (Foreign Individual Tourism)
เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นความเป็นส่วนตัว เที่ยวตามอินฟลูฯ ตาม KOLs นักท่องเที่ยวจัดการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวทุกอย่างด้วยตนเองทุกขั้นตอนตั้งแต่จองตั๋ว ขอวีซ่า จองที่พัก เดินทาง หาที่เที่ยว จองร้านอาหาร รวมถึงทำกิจกรรมต่างๆ (GIT: Group Individual Travelers เป็นนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกลุ่ม รวมไปถึงกรุ๊ปทัวร์)
ณ ปัจจุบันนักท่องเที่ยว FIT จากจีนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในบางช่วงสูงถึง 90% (สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว แอตต้า) สาเหตุที่ FIT เพิ่มขึ้นมีหลายประการคือ
1. นักท่องเที่ยวต้องการเที่ยวแบบคุณภาพ ลงลึก ไม่ใช่หย่อนขาถ่ายรูปแล้วกลับ
2. นักท่องเที่ยวต้องการความเป็นส่วนตัวสูง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรอใครหรือตามใคร
3. นักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม Young generation ศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี
4. นักท่องเที่ยวมักจะเป็น Repeater คือมาเที่ยวที่เดิมซ้ำจึงมีความคุ้นเคยกับสถานที่ต่างๆ พอสมควรอยู่แล้ว
5. เป็นนักท่องเที่ยวที่ฉลาดใช้จ่าย มีเงินแต่คิดและหาข้อมูลก่อนการใช้จ่าย
ดังนั้นผู้ประกอบการ “ต้อง” ปรับตัวอย่างหนัก จะเตรียมรับแต่กรุ๊ปทัวร์เหมาๆ ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
'Business in Action' จึงอยากนำเสนอกลยุทธ์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวไทยเพื่อผู้ประกอบการจะได้นำไปปรับใช้กันครับ
รู้จักตัวเอง หาจุดขายของตัวเองให้เจอ ผู้ประกอบการต้องหาจุดขายใหม่ๆ ด้วยเพราะอย่างที่เล่าให้ฟังข้างต้นว่านักท่องเที่ยวอาจเป็นกลุ่ม Repeater ถ้าเค้ามาซ้ำแล้วเจออะไรเดิมๆ อาจจะเบื่อ ดังนั้นต้องหาอะไรใหม่ๆ เช่น กิจกรรมใหม่ๆ อาหารใหม่ๆ จุดท่องเที่ยวใหม่ๆ เป็นต้น
รู้จักลูกค้า (ของเรา หรือที่เราอยากได้) ลูกค้าเป็นใคร มาทำอะไร ต้องการอะไรอาจจะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ลองกลับไปอ่านด้านบนเกี่ยวกับ FIT ท่านผู้อ่านอาจจะเจอสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจลูกค้าก็ได้ เช่น การหาข้อมูลของ FIT ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางสื่ออย่างละเอียดมากขึ้น ใช้สื่อต่างๆ ให้ฉลาดขึ้น เช่น นักท่องเที่ยวจีนรับสื่ออะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่ต้องทราบ
ออกแบบประสบการณ์ชั้นยอดให้กับลูกค้า โดยต้องคำนึงถึง Customer Journey เช่น ธุรกิจโรงแรมต้องเริ่มตั้งแต่รับลูกค้าที่สนามบิน เช็คอินที่โรงแรม การเข้าห้อง การเข้าพัก การรับประทานอาหาร ไปจนถึงการเช็คเอาท์ และอย่าลืมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใครอยู่เสมอ
สร้างระบบการรักษาลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ากลับมาใหม่หรือใช้บริการธุรกิจในเครือ สังเกตได้ว่าเครือโรงแรมและรีสอร์ทระดับโลกต่างมีโปรแกรมการรักษาลูกค้าทั้งสิ้น เช่น Club Marriot, 101Club, IHG เป็นต้น
ร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวควรไปด้วยกันทั้งระบบ เช่น โรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว รถเช่า ธุรกิจแลกเงิน และอื่นๆ การสร้าง Ecosystem ของธุรกิจเราให้กว้างขวางขึ้นเป็นเรื่องจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งลูกค้าเกิดความสะดวก ได้รับสิ่งต่างๆ อย่างครบวงจรมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความประทับใจได้มากขึ้นครับ
อย่างที่เปิดไว้ตั้งแต่เริ่มว่า “ธรรมชาติ ธรรมชาติ ธรรมชาติ” ดังนั้นผู้ประกอบการคงต้องไม่ลืมกลยุทธ์สุดท้ายเรื่องความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้พลังงาน การกำจัดขยะ การรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการทำประโยชน์เพื่อสังคม ยิ่งการท่องเที่ยวในลักษณะที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น กลยุทธ์นี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำครับ เพื่อให้เรามีธรรมชาติไว้ขายอีกนานๆ นั่นเอง
ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทย และยังจะเป็นแบบนี้ไปอีกยาวนาน แต่ไม่ใช่ว่าประเทศอื่นจะไม่รู้ เรามีคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวและก้าวให้เร็ว และดีกว่าคู่แข่งประเทศอื่นๆ ครับ
บทความจากนิตยสาร MarketPlus Magazine Issue 158 June-July 2023