โลกของการตลาดหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากจะไล่เรียงยุคที่การตลาดเริ่มเข้ามามีบทบาทคงต้องเริ่มต้นเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา หลังจากที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม การผลิตแบบแมสเข้ามามีบทบาท เมื่อผลิตออกมามาก ก็จำเป็นต้องหาคนซื้อ การแข่งขันที่รุนแรงจึงเกิดขึ้น
การตลาดเข้ามามีบทบาทในแง่ของการเป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำให้สามารถขายของที่ผลิตขึ้นมาได้ เราจึงคุ้นชินกับกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘มาร์เก็ตติ้งมิกซ์’ ส่วนผสมทางการตลาดที่มี P ทั้ง 4 ตัว คือ Product Price Place และ Promotion ซึ่งต้องเลือกวาง P แต่ละตัวให้เหมาะสมกับการแข่งขัน พฤติกรรมของผู้บริโภค
ก่อนที่จะเริ่มมีการแบ่งผู้บริโภคออกมาอย่างชัดเจนที่เรียกว่าการวาง Segmentation จนในที่สุดก้าวไปสู่การตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีการวางผู้บริโภคเป็นจุดศูนย์กลางของการตลาด ซึ่งยุคล่าสุดตามคำนิยามของปรมาจารย์ทางการตลาดอย่าง ฟิลิป คอตเลอร์ นิยามให้เป็นยุคของมาร์เก็ตติ้ง 5.0 ในปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Human Centric ที่ตอบโจทย์จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ โดยมองเรื่องของการใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม และเรื่องของความยั่งยืน
ส่วนการตลาดที่กำลังจะก้าวไปนั้น ตามคำนิยามของ ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย จะเรียกว่าเป็นการตลาดในยุค Post Modern Marketing ซึ่งเป็นการก้าวข้ามจากยุค Modern Marketing ที่การตลาดจะไม่ซับซ้อนเท่า และง่ายต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีการแบ่งกลุ่มก้อน หรือเซ็กเมนต์ออกมาอย่างชัดเจน
แต่การตลาดในยุค Post Modern Marketing นั้น นายกสมาคมการตลาด มองว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ความต้องการของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันมีผลมาจากทั้งเรื่องของเทคโนโลยีที่มีการ Seamless กันมากขึ้น ตลาดจนความเปราะบางทางเศรษฐกิจของทั่วโลก ที่เข้ามาเป็นตัวเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
“การตลาดมันเริ่มจากแมส มาสู่เซ็กเมนต์ จนถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องของ Individual Customer ที่ต้องมีความเข้าใจแต่ละบุคคลได้อย่างลึกซึ้ง การตลาดในยุคนี้ จะมีทั้งที่เป็นโลกจริงและโลกเสมือนจริงทับซ้อนกันอยู่ ทำให้การตลาดในยุค Post Modern Marketing ไม่ได้มีแค่ 4 P แต่จะมีกิจกรรมทั้งโลกจริงและโลกเสมือนที่มากกว่าแค่ 4P”
นายกสมาคมการตลาด กล่าว และเสริมอีกว่า สิ่งสำคัญก็คือ นักการตลาด หรือผู้บริหาร ต้องเข้าใจ และปรับเปลี่ยนให้ทัน ผ่านแนวคิดในเรื่องของการ ‘Reframe & Reform’ หรือ ‘ปรับเปลี่ยนและปฏิรูปแนวคิด’
โดย Reframe – ปรับเปลี่ยน ที่ต้องเชื่อมความเก๋าเข้ากับโลกยุคใหม่ เมื่อเทคโนโลยีก้าวกระโดด ผู้บริโภคก้าวกระโดด เด็กยุคใหม่ก้าวกระโดด ผู้นำองค์กรหรือนักการตลาด ก็ต้องกระโดดข้ามรูปแบบเดิมๆ เพื่อเดินกระบวนความคิดใหม่ให้เชื่อมกับความเปลี่ยนแปลง จะได้ทะยานต่อได้
เช่นเดียวกับการ Reform – ปฏิรูป ที่หากต้องการให้ธุรกิจไปต่อได้ในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารต้องเปิดมุมมองสู่แนวคิดใหม่ๆ เพื่อจะได้พบความเป็นไปได้ของการ ไปต่อและเติบโต
“การตลาดในยุคนี้ ต้องฉลาด ว่องไว ขณะเดียวกันก็ต้องแตกต่าง และต้องมีพันธมิตรที่เข้ามาช่วยเพิ่มจุดแข็งในการทำตลาดให้กับแบรนด์เรา หมดยุคที่จะเก่งคนเดียวแล้ว”
เขายังบอกว่าการตลาดในยุค Post Modern Marketing นี้ ความจริงไม่ได้มีแค่สิ่งเดียว เช่นเดียวกับ ความจริงกับสิ่งที่เป็นจริง อาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกันขึ้นอยู่กับการเล่าเรื่อง หรือการนำเสนอบริบทใหม่ๆ ทางการตลาด โดยเทคโนโลยี AI จะเข้ามาช่วยทำให้การเข้าใจผู้บริโภคแบบ Personalize ทำได้ง่ายขึ้น เพราะการตลาดในปัจจุบันนี้ ค่อนข้างจะมีความหลากหลายในแต่ละ Generation
เช่นเดียวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มีความซับซ้อนขึ้น โลกธุรกิจการตลาดก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ถือเป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง พฤติกรรม ความต้องการ และ ความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง แผนการตลาดแบบเดิมๆอาจไม่นำไปสู่ผลสำเร็จที่ต้องการอีกต่อไป
ในโลกธุรกิจที่ผู้บริโภคมองหาคุณค่าและประสบการณ์ใหม่ ผู้บริหารและนักการตลาด ควรให้ความสำคัญกับการปรับกลยุทธ์ เปลี่ยนวิธีการ และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อมาตอบโจทย์ให้แก่พวกเขา โดยสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่เทรนด์การตลาดใหม่ๆ ที่เรามองว่า เป็น 4 เทรนด์ใหญ่ของปี 2566 นี้
กล่าวคือ Personalized Marketing : การตลาดรู้ใจ, Marketing on Multiverse : การตลาดเชื่อมโลก, Real Marketing : การตลาดจริงใจ, และ Dynamic Brand : การตลาดพร้อมปรับ หากไล่เรียงเข้าไปในรายละเอียดแล้ว อาจจะแบ่งออกได้เป็น
1. Customer Empowerment: หากธุรกิจให้ความสำคัญและให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พวกเขาจะสามารถเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและสอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้
2. Applying Data Analytics and Machine Learning: องค์กรต้องรู้จักนำเทคโนโลยีมาใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างประโยชน์ในกระบวนการการตลาดและการขาย
3. Accelerating Personalized Marketing at Scale: ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดาต้ามาสร้างประสบการณ์รู้ใจให้แก่ลูกค้า
4. Building Ecosystems: และเน้นการสร้างระบบนิเวศน์ หรือ ecosystems อย่างครบวงจร ไม่ใช่เพียงให้ความสำคัญกับแบรนด์หรือตัวสินค้าเท่านั้น
ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้ ยังเป็นโอกาสให้ผู้บริการ และนักการตลาด ‘ปรับเปลี่ยนและปฏิรูปแนวคิด’ เพื่อขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าต่ออย่างราบรื่น โดยในยุคนี้ มี 5 มิติการตลาดใหม่ สำหรับผู้บริหาร เราสามารถเรียกง่ายๆ ว่า PILOT คือ
“ในยุคนี้ ผู้นำองค์กรต้องเป็น pilot ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจ แล้วให้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาเสริมทัพเป็น Co-pilot หากสามารถผสานวิสัยทัศน์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เริ่มจากตัวเองและทีมงาน ซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรับมือกับโลกของการตลาดยุคใหม่ที่มันหมุนเวียนเปลี่ยไปเร็วมาก” นายกสมาคมการตลาด กล่าวสรุปทิ้งท้าย