"ดีลอยท์" เผยผลสำรวจล่าสุดชี้ชัด คนกลุ่มมิลเลนเนียลมีความรู้สึกต่อธุรกิจเปลี่ยนไป
25 Jun 2018

Photo by Marc Mueller from Pexels

 

          จากผลสำรวจ Deloitte Millennial Survey ครั้งที่ 7 พบว่า เมื่อปีแห่งความเปลี่ยนแปลงในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) และสังคมโลกได้ผ่านพ้นไป กลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลและเจนซีต่างส่งสัญญาณเตือนถึงภาคธุรกิจให้ร่วมกันเร่งมือสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก แม้ว่าธุรกิจบางแห่งจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญในประเด็นเรื่องสังคม แต่กระนั้น กลุ่มมิลเลนเนียลเองกลับเกิดความเคลือบแคลงในเรื่องของแรงจูงใจ และจรรยาบรรณในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และนั่นเป็นเสียงจากคนกลุ่มมิลเลนเนียลที่เข้าร่วมการสำรวจรวมทั้งสิ้น 10,455 คน จาก 36 ประเทศ รวมถึงคนกลุ่มเจนซีที่เพิ่งเริ่มเข้าทำงานอีกจำนวน 1,850 คนจาก 6 ประเทศ ก็ได้เข้าร่วมตอบผลสำรวจในครั้งนี้เช่นกัน

 
          จากผลสำรวจ Deloitte Millennial Survey สองปีที่ผ่านมา พบว่า คนกลุ่มมิลเลนเนียลรู้สึกในทางที่ดีกับแรงจูงใจและจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ แต่ผลจากการสำรวจในปี 2018 กลับพบว่าตรงกันข้าม โดยความเห็นเรื่องธุรกิจลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี  ผลสำรวจล่าสุดพบว่า มีกลุ่มมิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 48 ที่ยังเชื่อว่าองค์กรประกอบธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณ เมื่อเทียบกับปี 2017 มีจำนวนถึงร้อยละ 65 นอกจากนี้ มิลเลนเนียลร้อยละ 42 ยังเชื่อว่าผู้บริหารธุรกิจนั้นมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจากร้อยละ 62 ในปีที่แล้ว

 
          ประเด็นที่ถือเป็นจุดสำคัญตลอดการทำสำรวจอย่างต่อเนื่อง 6 ปีที่ผ่านมา คือ ในการสำรวจครั้งนี้กลุ่มมิลเลนเนียลรวมถึงกลุ่มเจนซีให้ความสำคัญกับบทบาทของธุรกิจที่มีต่อสังคม และเชื่ออย่างมากว่า ความสำเร็จของธุรกิจนั้นไม่ได้มองกันแค่เพียงเรื่องของผลประกอบการ มิลเลนเนียลเชื่อว่าธุรกิจควรให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องนั่นคือ การสร้างงาน  นวัตกรรม การดูแลส่งเสิรมชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานของพนักงาน และการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามเมื่อถูกถามว่า แล้วองค์กรที่ตนสังกัดนั้นให้ความสำคัญในเรื่องใดบ้าง คำตอบที่ได้คือ มุ่งสร้างผลกำไร


          เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและเน้นการผลิต การขาย หรือบริการ ซึ่งเป็นสามสิ่งที่มิลเลนเนียลมองว่าองค์กรควรให้ความสำคัญน้อยที่สุด  ถึงแม้จะเข้าใจได้ว่าธุรกิจนั้นต้องมีกำไรก่อนถึงจะสามารถให้ในสิ่งที่มิลเลนเนียลต้องการได้ แต่กลุ่มมิลเลนเนียลก็ยังเชื่อว่าธุรกิจควรตั้งเป้าให้กว้างและสมดุลมากขึ้น ควบคู่ไปกับเป้าหมายในด้านผลประกอบการ
 

          พูนิท เรนเจน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ โกลบอล กล่าวว่า “ผลการสำรวจในปีนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทางสังคม เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์โลกในปีที่ผ่านมานั้น ส่งผลต่อมุมมองในเรื่องธุรกิจของกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี  และนี่ควรจะเป็นเรื่องที่เตือนสติผู้บริหารทั้งหลาย” 


          เรนเจน กล่าวเสริมว่า “คนเจนนี้รู้สึกว่าผู้บริหารองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องของธุรกิจมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงการทำเพื่อสังคมส่วนรวม  ธุรกิจควรหาทางที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม ชุมชน และให้ความสำคัญกับความหลากหลาย การให้โอกาสมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่นในการทำงาน   ถ้าองค์กรยังต้องการได้ความจงรักภักดีและความไว้ใจจากพนักงานในกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี”

 
เชื่อช่องว่างช่วยสร้างโอกาส


          นอกจากความเชื่อมั่นของมิลเลนเนียลในเรื่องธุรกิจว่าแย่แล้ว  แต่ความเชื่อมั่นต่อผู้นำทางการเมืองยิ่งแย่หนักกว่า  เมื่อถูกถามถึงกลุ่มผู้นำบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่ม NGO องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร  ผู้บริหาร  ผู้นำศาสนา และผู้นำทางการเมือง  คนกลุ่มมิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น ที่เชื่อว่านักการเมืองเหล่านั้นจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม เทียบกับร้อยละ 71 ที่ตอบว่าสร้างผลกระทบเชิงลบ
 

          เมื่อเทียบกับความเห็นของมิลเลนเนียลต่อผู้นำองค์การธุรกิจ  ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 44 เชื่อว่า ผู้นำองค์กรธุรกิจจะสร้างผลกระทบที่ดีกับสังคม  และยังมีศรัทธาว่าองค์กรธุรกิจ จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายต่อสังคมได้  ขณะที่สามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า องค์การข้ามชาติขนาดใหญ่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาและความท้าทายทางเศรษฐกิจ  สิ่งแวดล้อม  และสังคม  และมิลเลนเนียลยังเชื่อว่านอกจากสร้างงานและสร้างกำไร ธุรกิจที่ดีจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมด้วย 
 

ความจงรักภักดีที่ถดถอย จะดึงให้อยู่กับองค์กรจึงต้องมีความหลากหลาย การให้โอกาสมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น


          ความจงรักภักดีของมิลเลนเนียลต่อองค์กรลดระดับลงไปเท่ากับเมื่อสองปีที่แล้ว  มิลเลนเนียลร้อยละ 43 คิดว่าจะลาออกจากองค์กรที่ตนทำงานอยู่ภายใน 2 ปี มีเพียงร้อยละ 28 เท่านั้นที่มองว่าจะยังคงทำงานที่เดิมเกิน 5 ปี เรียกว่าเป็นคะแนนที่ห่างกันถึง 15 คะแนน หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 จากปีก่อน และในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าตนเองจะลาออกจากงานปัจจุบันในอีก 2 ปีข้างหน้า มีถึงร้อยละ 62 มองว่างานอิสระในระบบเศรษฐกิจแบบ gig economy นั้น จะเป็นทางเลือกที่ดีของพวกเขาเมื่อไม่ได้ทำงานประจำแล้ว มาดูที่กลุ่มเจนซี ก็พบว่าความจงรักภักดีของกลุ่มนี้ มีน้อยกว่ามิลเลนเนียลถึงร้อยละ 61 และบอกว่าภายใน 2 ปี ถ้ามีโอกาสใหม่ที่ดีกว่าก็จะลาออกจากจากงานปัจจุบันแน่นอน

 
          คำถามในใจขององค์กรธุรกิจ คือ แล้วจะดึงคนเหล่านี้ไว้ได้ยังไง  ทั้งกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี ให้ความสำคัญกับปัจจัยอย่าง ความอดทน การมีส่วนร่วม ความเคารพ และความคิดเห็นที่แตกต่าง ในขณะที่ค่าตอบแทนที่ได้รับ และวัฒนธรรมองค์กรเป็นตัวดึงดูดคนกลุ่มนี้ แต่ความหลากหลาย การมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้มิลเลนเนียลและเจนซีนั้นมีความสุขกับการทำงาน มิลเลนเนียลที่ทำงานในองค์กรที่มีพนักงานและผู้บริหารที่มีความหลากหลาย มีแนวโน้มว่าจะทำงานกับองค์กรไปอีก 5 ปี หรือมากกว่านั้น และในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าจะอยู่กับองค์การเกิน 5 ปี ก็รับรู้ถึงความยืดหยุ่นในการทำงานในปัจุจบันที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานเมื่อ 3 ปีก่อน

 
มิลเลนเนียลและเจนซี ไม่มั่นใจเผชิญโลก 4.0


          มิลเลนเนลและเจนซีล้วนตระหนักดีว่าโลกยุค 4.0 นั้นกำลังปฏิรูปสถานที่ทำงาน  และเป็นไปได้ว่าจะปลดปล่อยคนจากงานที่ซ้ำซากออกไป เพื่อให้คนทำงานไปเน้นงานประเภทที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์  อย่างไรก็ตามหลายๆ คนยังไม่มั่นใจเมื่อจะไปถึงวันนั้น  ร้อยละ 17 ของผู้ตอบแบบสอบถาม  และร้อยละ 32 ของผู้ที่ทำงานอยู่ในองค์กรที่นำเทคโนโลยี 4.0 มาใช้แล้ว ต่างกลัวว่างานบางส่วน หรืองานทั้งหมดจะถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มมิลเลนเนียลเพียง 4 ใน 10 และเจนซี จำนวน 3 ใน 10 เท่านั้นที่รู้สึกว่า ตนเองมีทักษะที่จำเป็นที่จะประสบความสำเร็จ  และยังคาดหวังให้องค์กรช่วยสร้างความพร้อม ให้พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ได้
 

          ผู้ตอบแบบสอบถามยังต้องการแนวทางและคำชี้แนะในเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากความรู้ทางเทคนิค คนทำงานรุ่นเด็กยังต้องการความช่วยเหลือในการสร้างทักษะด้านอารมณ์ (Soft skills) เช่น ความมั่นใจ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี  และโดยเฉพาะสำหรับเจนซีที่ต้องเน้นในเรื่องของจรรยาบรรณและความซื่อสัตย์ แต่ในมุมมองของพวกเขา องค์กรยังไม่ได้ให้ความสำคัญและตอบสนองความต้องการในการพัฒนาของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่  มิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 36 และเจนซีร้อยละ 42 ที่บอกว่านายจ้างช่วยให้พวกเขาเข้าใจ และเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่สืบเนื่องจากโลกอุตสาหกรรม 4.0

 
          มิเชล พาร์มาลี ดีลอยท์ โกลบอล ทาเลนท์ ลีดเดอร์ อธิบายว่า “ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องความจงรักภักดีที่มีต่อองค์กรนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจ ในการเพิ่มความพยายามดึงคนเก่งไว้กับองค์กร”  

 

          “ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 นี้  องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องฟังมิลเลนเนียล และต้องคิดใหม่ทำใหม่ ในการบริหารบุคลากรที่มีความสามารถ  โดยให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้และพัฒนา ที่จะช่วยให้พนักงานเติบโตในหน้าที่การงานของพวกเขาไปตลอดอายุงาน” พาร์มาลี กล่าวเพิ่มเติม

[อ่าน 993]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หลุยส์คาเฟ่ ปลุกกระแสแบรนด์เนมตื่น เอนเกจพุ่ง 950 % หลังเปิดตัวเพียงครึ่งเดือน
สัญญาณดีๆ ของปี 2023 มีส่งต่อปี 2024 ไหม
TikTok ร่วมพัฒนาอนาคตแห่งความบันเทิงและการค้าในปี 2567
ถอดรหัสเทรนด์ การชำระเงิน ในเอเชียแปซิฟิกปี 2567
ข้อมูลอโกด้าชี้ นักท่องเที่ยวไทยตื่นเที่ยวจีนหลังการยกเลิกวีซ่าไทย-จีนถาวร
การรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กร และ ข้อดีของโคเวิร์กกิ้งสเปซ
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved