จากปัญหาโลกร้อนที่พูดถึงกันมาหลายปี ปัจจุบันกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็น “วิกฤตโลกเดือด” ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ และเป็นวาระเร่งด่วนที่กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนต้องขยับตัวและรวมพลังเพื่อแก้ไขปัญหานี้กันอย่างจริงจัง
ซึ่งนั่นรวมถึงยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “เอสซีจี” ที่วันนี้เดินหน้าแก้ปัญหาวิกฤตโลกเดือดอย่างจริงจังเช่นกัน ด้วยการสร้างองค์กรแห่งโอกาสปั้นนวัตกรรมกรีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นจริง พร้อมตั้งงบพัฒนากระบวนการผลิตคาร์บอนต่ำ และนวัตกรรมกรีนถึง 10,000 ล้านบาท
ถ้ามองเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่เอสซีจีวางไว้ พบว่า เอสซีจีมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นซีเมนต์ แพ็กเกจจิ้ง เคมีคอล ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Low Carbon, Carbon Neutrality (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) และเป้าหมายสุดท้ายคือการเป็น “Net Zero” หรือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2050 หรือ 26 ปีนับจากนี้
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซี
“การเดินทางสู่ Net Zero ในปี 2050 ที่เราวางไว้ นั่นหมายความว่า อาจจะต้องใช้ CEO ของเอสซีจีถึง 3 คน หน้าที่ผมจากวันนี้คือการลดการปล่อยคาร์บอน อย่างน้อยต้องลดให้ได้ 25% ด้วยการพัฒนานวัตกรรมกรีนซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาโลกเดือด แต่การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะต้องปรับเปลี่ยนทั้งเทคโนโลยี ความเข้าใจลูกค้าและตลาด รวมถึงกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็น 3 ความท้าทายที่เราต้องเปลี่ยนสู่การสร้างโอกาสใหม่”
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยถึงการเดินทางสู่ Net Zero ของเอสซีจี พร้อมขยายความต่อว่า
ซึ่งองค์กรแห่งโอกาสที่แม่ทัพใหญ่แห่งเอสซีจีกล่าวถึง ประกอบด้วย 3 โอกาสหลักๆ คือ “โอกาสเปลี่ยนไอเดียเป็นนวัตกรรม” เช่น ให้พนักงานก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการกับโครงการสตาร์ตอัปภายในองค์กร หรือ ‘ZERO TO ONE by SCG’ โดยติดอาวุธทักษะความรู้ ตั้งแต่เริ่มทำความเข้าใจลูกค้า ค้นหาปัญหา การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า และการขยายฐานลูกค้าเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม
โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คน และ มีสตาร์ตอัปในโครงการ 100 สตาร์ตอัป เช่น ‘Wake Up Waste’ แพลตฟอร์มรถบีบอัดขยะ ช่วยให้ขยะเล็กลง ขนส่งได้ปริมาณมากขึ้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ, ‘Dezpax’ แพลตฟอร์มออนไลน์แพคเกจจิ้งครบวงจรรายแรกในไทย สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ฟู้ดเดลิเวอรี่ และคาเฟ่
ขณะเดียวกัน ยังเปิดเวที ‘SCG Young Talent Program’ บ่มเพาะนวัตกรรุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยทุกชั้นปี ทุกสาขา ผ่านการทำงานกับเอสซีจี แบบทำจริง เจ็บจริง (Bootcamp) เป็นเวลา 13 สัปดาห์ เพื่อร่วมสร้างนวัตกรรมดิจิทัล ตอบเทรนด์อนาคต ซึ่งมีคนรุ่นใหม่เข้าร่วมแล้วกว่า 850 คน
“โอกาสพัฒนานวัตกรรมระดับโลก” สนับสนุนการวิจัยภายในองค์กรและร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เช่น ร่วมกับ ‘Norner AS’ ศูนย์วิจัยและพัฒนาพลาสติก ประเทศนอร์เวย์ และ ‘มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด’ ประเทศอังกฤษ พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน รวมทั้งร่วมมือกับสตาร์ตอัปจากสหรัฐอเมริกา ‘Rondo Energy’ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ เช่น แบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด
"โอกาสที่จะเป็น Open Collaboration Platform" ด้วยการร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งเครือข่ายภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม เพื่อรวมพลังสร้างสังคมคาร์บอนต่ำที่เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน เช่น ขับเคลื่อน ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ สร้างเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย
และจากพลังของ “องค์กรแห่งโอกาส” ที่วางรากฐานไว้ นั่นทำให้เอสซีจีสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมกรีนที่หลากหลายจากทุกองค์กรในเครือ ตั้งแต่กระบวนการผลิตแบบกรีนที่ลดการปล่อยคาร์บอน จนถึงสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า สังคม และสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
เริ่มกันที่ "เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน” ที่ออกมาพลิกโฉมการก่อสร้างและการอยู่อาศัยให้กรีนแบบครบวงจร ด้วยการพัฒนานวัตกรรมก่อสร้างคาร์บอนต่ำ ผ่าน 3 Green ได้แก่ Green Process มีการใช้เชื้อเพลิงทดแทนและพลังงานหมุนเวียนในการผลิตปูนซีเมนต์, Green Products มีการพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำและคอนกรีตคาร์บอนต่ำ, Green Construction พัฒนาวิธีการก่อสร้างแบบคาร์บอนต่ำที่สามารถคำนวณคาร์บอนได้ผ่านแพลตฟอร์ม KITCARBON
ซึ่งเป็นการพัฒนานวัตกรรมงานโครงสร้าง การก่อสร้าง จนถึงระบบเทคโนโลยีภายในและการตกแต่ง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถตอบโจทย์โครงการรักษ์โลกทั้งงานอาคารขนาดใหญ่ งานนิคมอุตสาหกรรม งานท่าเรือ ไปจนถึงงานใต้ทะเล
“เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง” ที่ออกมานำเสนอวัสดุก่อสร้างแบบครบทั้งหลังที่มาพร้อมดีไซน์ ความทนทาน และยังลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งได้รับการรับรอง SCG Green Choice และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ทั้งยังมีเทคโนโลยีลดการใช้พลังงานจากระบบปรับอากาศในอาคาร ด้วย ‘SCG Air Scrubber’ และสร้างพลังงานสะอาดสำหรับใช้ภายในบ้าน-อาคารตลอด 24 ชั่วโมง ด้วย ‘SCG Solar Hybrid Solutions’ ตลอดจนโซลูชันใหม่อย่าง ‘Microgrid and Energy Storage System’ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการใช้พลังงาน และสามารถกักเก็บพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ไว้สำหรับใช้งาน
มาต่อกันที่ “เอสซีจี เดคคอร์” ที่มาพร้อมนวัตกรรมตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์รักษ์โลก อย่าง ‘Eco Collection’ กระเบื้องรักษ์โลก ที่นำ waste ในกระบวนการผลิตนำหมุนกลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ, COTTO CLAY DECOR COLLECTION’ แผ่นดินเหนียวรักษ์โลก (Ecological Clay) หรือ แผ่นดินเหนียวดัดแปลง ที่สามารถดูดซับความร้อนได้ดี ช่วยให้บ้านเย็น ประหยัดพลังงาน, ‘ก๊อกน้ำรุ่น GEO Series’ ที่ใช้นวัตกรรมการผลิตแบบ Non-Foundry Process ดีไซน์ก๊อกน้ำที่ใช้ท่อทองเหลืองมาเป็นส่วนหนึ่งในงานออกแบบ สามารถลดใช้พลังงานในการหลอมขึ้นรูป และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10%
ส่วน “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP)” ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการสร้างความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การพัฒนายูคาลิปตัสเพื่อเป็นวัตถุดิบทดแทน (Renewable Resource) เพิ่มประสิทธิภาพการนำกระดาษรีไซเคิลสู่กระบวนการผลิต พัฒนากระบวนการผลิตให้ลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงเพิ่มทางเลือกบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลและใช้ซ้ำได้
ในขณะที่ “เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)” มุ่งพัฒนานวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ภายใต้แบรนด์ ‘SCGC GREEN POLYMERTM’ นำเสนอกรีนโซลูชันตามแนวทาง Low Waste, Low Carbon โดยได้ขยายกำลังการผลิตพลาสติกรีไซเคิลในยุโรป ได้แก่ ‘ซีพลาสต์’ (Sirplaste) โปรตุเกส เพิ่มขึ้น 9,000 ตันต่อปี เป็น 45,000 ตันต่อปี และ ‘คราส’ (Kras) เนเธอร์แลนด์ เพิ่มขึ้น 9,000 ตันต่อปี เป็น 18,000 ตันต่อปี
อีกทั้ง ยังจับมือกับ HomePro พัฒนา ‘เครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก’ ครั้งแรกในไทย โดยรีไซเคิลพลาสติกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วให้กลับมาผลิตใช้ใหม่ และร่วมกับ Braskem ผลิต ‘พลาสติกชีวภาพ’ หรือ Bio-Polyethylene ที่เปลี่ยนการใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากฟอสซิลเป็นวัตถุดิบชีวภาพ มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นลบ ร่วมมือกับ Denka ผลิต ‘Acetylene Black’ สารนำไฟฟ้าสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ EV มุ่งสู่ Green Mobility พร้อมทั้งนวัตกรรมสุดล้ำล่าสุดที่ SCGC พัฒนาร่วมกับ Avantium ในการเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นพอลิเมอร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นลบ (Carbon-Negative Plastic) อีกด้วย
ด้าน “เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่” ก็นำนวัตกรรมเข้ามาช่วยภาคธุรกิจที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเป็นศูนย์ ด้วยแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานสะอาดอัจฉริยะ ‘Smart Grid’ เพื่อเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งนวัตกรรมแห่งอนาคตอย่าง ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด’ ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการทำความร้อนหรือไอน้ำในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
และสุดท้ายกับ “เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์” ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กลุ่มธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น (Cold Chain Business) มีการใช้เทคโนโลยีจัดเก็บและจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System - ASRS) และระบบโซลาร์รูฟเป็นคลังสินค้าประหยัดพลังงาน ลดการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มีการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV) รวมถึงระบบคำนวณเส้นทางอัจฉริยะ (AI Route Optimization) และหุ่นยนต์ลำเลียงอัตโนมัติ (AGV & Robotics) ที่ช่วยสร้างความยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
นี่ถือเป็นบางส่วนของนวัตกรรมกรีนที่เอสซีจีพัฒนา เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค และสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น โดยที่ผ่านมาเอสซีจีสามารถสร้างยอดขายจากนวัตกรรมรักษ์โลก SCG Green Choice ได้ถึงร้อยละ 53 จากยอดขายทั้งหมด และมุ่งสู่เป้าหมายยอดขายร้อยละ 67 ภายในปี 2573
ปัญหาโลกเดือดไม่ใช่ปัญหาของคนใดคนหนึ่ง และการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือตลอด supply chain โดยเอสซีจี จะยังคงเดินหน้าสร้างสังคมคาร์บอนต่ำอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่ง่ายนัก แต่แม่ทัพใหญ่ของเอสซีจีเชื่อว่า ถ้าทุกคนร่วมมือกัน “สังคมคาร์บอนต่ำ” จะสามารถเกิดขึ้นได้จริง และการเติบโตแบบ Inclusive Green Growth ก็เกิดขึ้นได้จริงเช่นกัน