Shabushi Reloaded! Winning Gen Z Hearts Is the New Main Dish
03 Sep 2025

กว่า 20 ปีที่ ‘Shabushi’ (ชาบูชิ) ครองบัลลังก์ร้านบุฟเฟต์ชาบูของไทย ภาพจำคือสายพานอาหารที่คลาคล่ำไปด้วยเมนูที่หลากหลาย แต่เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้บริโภคยิ่งเปลี่ยนเร็วกว่า ‘ความอร่อย’ อย่างเดียวไม่พออีกต่อไป และนี่คือจังหวะที่ ‘โออิชิ โฮลดิ้ง’ ภายใต้กลุ่ม ไทยเบฟ เปิดเกมรบใหญ่ ปฏิบัติการ ‘รีเฟรชแบรนด์ Shabushi’ ครั้งสำคัญที่สุดในรอบสองทศวรรษ เพื่อเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่แค่กินให้อิ่ม แต่ต้องการ ‘ประสบการณ์ที่กรี๊ด’ ได้ไม่จำกัด

 

พรีเซนเตอร์คู่แรก = สัญญาณเปลี่ยนเกม

 

 

การเปิดตัว ‘สกาย-นานิ’ เป็นพรีเซนเตอร์คู่แรก ไม่ใช่แค่การใช้ดาราดัง แต่คือ ‘การแถลงจุดยืนใหม่’ ของชาบูชิ เพราะทั้งคู่เป็นตัวแทนของมิตรภาพ ความสดใส และพลังบวกที่กลุ่มวัยรุ่นเชื่อมโยงได้ทันที เหมือนการตีคู่ชาบู-ซูชิ ที่ต่างแต่ลงตัว แคมเปญ ‘Shabushi x สกาย-นานิ: ALL YOU CAN กรี๊ด’ ถูกออกแบบให้เป็นมากกว่าโปรโมชั่นดึงคนเข้าร้าน แต่คือการสร้าง Engagement เชิงอารมณ์ (Emotional Experience) ตาม 3 แกนกลยุทธ์ใหม่ที่ชัดเจน ได้แก่ Quality เสิร์ฟเมนูพรีเมียมต่อเนื่องในซีรีส์ ALL-STAR, Creativity สร้างสรรค์เมนูซูชิใหม่ๆ ให้สายแชร์ต้องพูดถึงและGreat Moment เติมกิจกรรมในร้านที่ทำให้ผู้บริโภค Gen Z ‘อยากเล่า อยากโพสต์’ พร้อมเสริมทัพตลาดแบบครบวงจรทั้งโซเชียล, OOH, งานแถลงข่าวสไตล์แฟนมีต ไปจนถึงเพลงธีมพิเศษ คือการรุกเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างเป็นระบบ

เมื่อ ‘อารมณ์’ คือสมรภูมิใหม่ของร้านอาหาร...สิ่งที่ Shabushi เห็นชัดคือร้านอาหารในยุคนี้ไม่ได้ขายแค่รสชาติ แต่ขาย ‘พื้นที่ของความรู้สึก’

 

 

ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการโออิชิ โฮลดิ้ง สรุปสั้นๆ ว่า “แบรนด์ที่อยู่มานานไม่จำเป็นต้องแก่ แต่ต้องกล้าพอที่จะเปลี่ยนไปพร้อมผู้บริโภค”

นั่นหมายความว่าการรีเฟรชครั้งนี้ไม่ใช่แค่รีแบรนด์ แต่คือการปรับวิธีคิดลึกถึงแก่น โมเดลธุรกิจต้องตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่พร้อมเปลี่ยนใจตลอดเวลา แบรนด์ต้องเป็นมากกว่าร้านอาหารต้องกลายเป็นแพลตฟอร์มของโมเมนต์ดีๆ ที่อยากกลับมาอีก

 

เชื่อม PASSION 2030 ยุทธศาสตร์ใหญ่ของไทยเบฟ

ดีลนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ แต่เชื่อมกับแผนใหญ่ PASSION 2030 ของไทยเบฟที่วางเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลผู้บริโภค

 

 

ไพศาล อ่าวสถาพร ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) ย้ำว่า “ธุรกิจร้านอาหารต้องเร็วกว่าโลก ต้องเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของลูกค้าให้ได้ ไม่ใช่แค่ตอบสนอง แต่ต้องสร้างอารมณ์ร่วม” Shabushiถูกวางเป็นแบรนด์ยุทธศาสตร์ (Strategic Brand) ที่ต้องเป็น Top of Mind เมื่อพูดถึงชาบูและซูชิ ไม่ว่าจะในหัวกลุ่มลูกค้าเดิมหรือยังเจนฯ ที่เพิ่งรู้จัก

ทั้งนี้ แม้การใช้พรีเซนเตอร์คู่แรกคือการปลดล็อกแบรนด์อายุ 20 ปี เป็นการรีเซ็ตภาพลักษณ์เก่าที่คนอาจมองว่า ‘อยู่มานาน’ ให้กลับมาสดใหม่ทันที แต่หลายคนอาจสงสัยว่า แล้ว Emotional Experience จะช่วยดึง Gen Z และ Gen Alpha ได้จริงหรือไม่? เพราะกลุ่มนี้คาดหวังมากกว่าความคุ้มค่า ซึ่งก็ต้องตามดูกันต่อไปในอนาคตว่า Shabushi จะสามารถสร้างไวรัลได้ต่อเนื่องแค่ไหน

ในขณะที่คู่แข่งบุฟเฟต์สายพรีเมียมกำลังบุกตลาด การยกระดับเมนูพรีเมียมและบริการในซีรีส์ ALL-STAR และ SUSHI-MASTER อาจเป็นหมากสกัดคู่แข่ง แต่ต้นทุนก็สูงขึ้น จึงต้องรักษาสมดุลให้ดี

ที่น่าสนใจคือ การเปลี่ยนร้านอาหารให้เป็น Social Hub เป็นพื้นที่สร้างคอนเทนต์ที่แชร์ต่อได้คือโจทย์ใหญ่ ถ้าทำสำเร็จจะสร้างพลังดึงคนเข้าร้านซ้ำโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรโมชั่นลดราคาเพียงอย่างเดียว

 

ชาบูชิไม่ใช่แค่ร้านบุฟเฟต์อีกต่อไป

การรีเฟรชแบรนด์ครั้งนี้คือการประกาศชัดว่า ชาบูชิจะไม่หยุดอยู่ที่การขายอาหาร แต่ต้องการเป็น ‘จุดหมายปลายทางแห่งความรู้สึก’ ที่ทำให้คนอยากกรี๊ด อยากแชร์ และอยากกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า และนี่อาจเป็นกรณีศึกษาสำคัญว่า แบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานานก่อนเขาก่อนใคร แต่ในยุคที่ตลาดเปลี่ยนแปลงเร็ว ต้อง ‘กล้าลงทุนทางอารมณ์’ ให้มากกว่าคู่แข่งที่เน้นเพียงราคาและโปรโมชั่น

 


เธอกุ้ง...ฉันก็กุ้ง

ในขณะที่อีกฟากฝั่งของสงครามหม้อไฟเดือด MK Restaurants งัดไม้เด็ดหยิบกุ้งมาเทกระจาดในไลน์บุฟเฟต์ ล่าสุด Shubushi ที่เป็นหัวหอกของตลาดชาบูก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งโปรโมชั่น ‘กุ้งแม่น้ำไม่อั้น’ เข้าสู้ ถือเป็นการตลาดที่ผสานทั้งยอดขายระยะสั้น (21 ก.ค.-16 ส.ค. 68) และการสร้างฐานลูกค้าระยะยาวได้อย่างลงตัว จุดแข็งอยู่ที่การใช้เมนูพรีเมียมอย่างกุ้งแม่น้ำพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรใหม่และซุปต้มยำรสเด็ดมาเป็นแม่เหล็กดึงดูดใจ โดยออกแบบให้เป็นแคมเปญเวลาจำกัดเพียงไม่กี่สัปดาห์ เพื่อสร้างแรงเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจทันที พร้อมวางโครงสร้างราคาแบบไต่ระดับที่กระตุ้นให้ผู้บริโภคอัปเกรดคอร์สสูงขึ้นจาก 399+ ด้วยการจ่ายเพิ่ม 69+ เพื่อรับสิทธิ์กุ้งแม่น้ำฟรีแบบไม่อั้น เช่นเดียวกับที่แพ็กเกจ 499+ และ 599+ ได้รับ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวอย่างแยบยล

นอกจากนี้ยังเสริมกลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์ม LINE Official Account ของ Oishi ด้วยกิจกรรมสะสม ‘กรี๊ดพอยท์’ และการเชื่อมโยงกับคอมมูนิตี้แฟนด้อม #สกายนานิ เพื่อดึงลูกค้าเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่องในโลกดิจิทัล ขณะเดียวกันก็ใช้ถ้อยคำการสื่อสารอย่าง ‘All You Can ซี้ด’ และ ‘ฟินไม่อั้น’ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ความคุ้มค่า และสร้าง FOMO (ความกลัวว่าจะพลาดสิ่งสำคัญหรือสิ่งที่คนอื่นได้ทำ/ได้เห็น/ได้มี) ในหมู่ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่เป็นสายบุฟเฟต์ ด้วยการผสานเมนูพิเศษ แรงจูงใจทางราคา และการสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงทั้งออฟไลน์และออนไลน์ แคมเปญนี้จึงสามารถผลักดันให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านซ้ำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และยังมีโอกาสสร้างความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว ถือเป็นแคมเปญที่ตอบโจทย์ทั้งการเพิ่มยอดขายและสร้างฐานแฟนที่เหนียวแน่นในคราวเดียว
 

 

Shabushi Next Chapter
ดีไซน์ใหม่ที่ไม่ได้แค่สวย
แต่คือการรีเซ็ตประสบการณ์ร้านอาหารญี่ปุ่น

เมื่อแบรนด์เก๋าอย่าง Shabushi เดินเกมรีเฟรชแบรนด์ครั้งใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดไม่ใช่แค่พรีเซนเตอร์หรือแคมเปญการตลาด แต่คือ ‘ดีไซน์ร้านใหม่’ ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สาขาซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ (ชั้น G) ดีไซน์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่เป็นการยกระดับประสบการณ์ร้านอาหารญี่ปุ่นในทุกมิติ ตั้งแต่บรรยากาศ เมนู ไปจนถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อวางชาบูชิให้เป็น Destination ของคนรักชาบูและซูชิ

 

 

ดีไซน์ร้านใหม่...สะอาด โมเดิร์น โปร่งโล่ง และมีชีวิตชีวา

ชาบูชิเลือกใช้ โทนสีขาวเป็นหลัก เสริมด้วยงานแสงที่เน้นความสว่างเพื่อสร้างฟีลโล่งโปร่ง ไม่อึดอัดเหมือนร้านบุฟเฟต์ทั่วไป ผนังร้านประดับด้วยกราฟิกสไตล์ญี่ปุ่นร่วมสมัยผสมกับไฟนีออนเฟล็กซ์ ให้ความรู้สึกสดใสและทันสมัย การออกแบบนี้ไม่ได้แค่สร้างความสวย แต่มีเป้าหมายให้ร้านกลายเป็นพื้นที่ที่มอบห้วงเวลาดีๆ สำหรับผู้บริโภคยุคโซเชียลที่อยากถ่ายรูป แชร์ประสบการณ์ และใช้เวลาที่นี่ได้นานขึ้น

 

Sushi-Master Station จุดเด่นใหม่ที่ดึงสายตา

หนึ่งในไฮไลต์คือการเพิ่ม Sushi-Master Station ครัวเปิดที่ให้ลูกค้าได้เห็นทุกขั้นตอนของการทำซูชิแบบเรียลไทม์ ตั้งแต่คัดวัตถุดิบไปจนถึงการปั้นคำต่อคำ นี่คือการยกระดับซูชิจากเมนูเสิร์ฟบนสายพานสู่ ‘Visual Experience’ ที่ลูกค้าอยากยืนดู อยากถ่ายวิดีโอ และรู้สึกถึงคุณภาพของวัตถุดิบในทุกคำ ด้วยเมนูซูชิที่หลากหลายกว่า 30 รายการ ทั้งแบบคลาสสิกและสร้างสรรค์ ชาบูชิต้องการตอบโจทย์ทั้งคอซูชิจริงจัง และนักกินสายแชร์ได้อย่างลงตัว

 

 

สเตชั่นใหม่-เก่า อัปเกรดประสบการณ์ให้คัสตอมได้มากขึ้น

นอกจากซูชิแล้ว Shabushiยังปรับดีไซน์และฟังก์ชันของสเตชั่นอาหารต่างๆ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสเตชั่นซอสที่เปิดพื้นที่ให้ลูกค้าเลือกผสมซอสสูตรเฉพาะตัวเอง เหมาะกับเทรนด์ ‘Personalization’, สเตชั่นของกินเล่น (Warming Cabinet) อาหารทานเล่นถูกวางในตู้อุ่นเพื่อคงความสดใหม่ทุกคำ ไม่ใช่แค่ตักจากถาดไปแบบเย็นๆ ชืดๆ สุดท้ายคือสเตชั่นของหวาน เพิ่มเมนูใหม่อย่าง ‘คากิโกริ’ (น้ำแข็งไสญี่ปุ่น) พร้อมท็อปปิ้งจัดเต็ม และเครื่องดื่มสลัชชี่ ผลไม้หมุนเวียนตามฤดูกาล ทั้งหมดนี้ถูกดีไซน์ให้ลูกค้า เลือก ปรุง และสร้างประสบการณ์ด้วยตัวเองมากขึ้น

 

เป้าหมายไม่ใช่แค่ปรับโฉม แต่คือการเปลี่ยนร้านให้เป็นDestination

ศสัย ตังเดชะหิรัญ กรรมการผู้จัดการบริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง ย้ำว่า ร้านดีไซน์ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Good Taste Great Time Never End’ หรือ ‘รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด’ สิ่งที่ Shabushi คาดหวังคือให้ลูกค้ารู้สึกว่าร้านนี้ทันสมัยและเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน, ทุกมื้ออาหารมีเรื่องให้แชร์ และอยากกลับมาอีก กระทั่งกลายเป็นหมุดหมายที่ผู้บริโภคคิดถึงก่อนใครเมื่ออยากกินชาบูและซูชิ

แผนต่อไปคือขยายการปรับโฉมไปยังสาขาหลักทั่วประเทศ โดยโฟกัสสาขาในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อสร้างภาพจำแบรนด์ใหม่ให้ชัดในระดับประเทศ ซึ่งนั่นหมายความว่า Shabushiกำลังเขียนมาตรฐานใหม่ให้ตลาดบุฟเฟต์ชาบู จากดีไซน์ร้านใหม่และสเตชั่นต่างๆ ที่ปรับโฉมชัดเจนว่าเป็นมากกว่า ‘ความสวย’ แต่มุ่งสร้างประสบการณ์ครบทุกมิติ ตั้งแต่ การได้เห็น การได้เลือก การได้แชร์

นี่คือตัวอย่างของการใช้ Retail Design เป็นเครื่องมือการตลาดอย่างแท้จริง เพราะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นในตลาดบุฟเฟต์ชาบูที่เริ่มตันและเป็นการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างชัดเจนและมีคุณค่ามากขึ้น

 

 

ก้าวสู่สมรภูมิใหม่ ‘ตลาดพรีเมียมแมส’
ปักหมุดแฟลกชิปสโตร์ ‘อิชิเทน’ ที่วัน แบงค็อก

ในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นแบบบุฟเฟต์ที่แข่งขันดุเดือดและเต็มไปด้วยผู้เล่นรายใหม่ที่เน้นความพรีเมียมมากขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์เก๋าอย่าง ‘ชาบูชิ’ (Shabushi) ภายใต้เครือ บริษัท โออิชิ โฮลดิ้ง จำกัด จึงเดินเกมครั้งสำคัญ ปรับตัวครั้งใหญ่ด้วยการก้าวข้ามภาพลักษณ์ ‘Mass’ สู่ตลาด Premium Mass และปักหมุดแฟลกชิปสโตร์แห่งแรก ‘ชาบูชิ อิชิเทน’ (Shabushi ICHITEN) ณ ศูนย์การค้า วัน แบงค็อก (One Bangkok) เมื่อพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา

 

 

เกมรุกยกระดับแบรนด์จาก Mass สู่ Premium Mass

ศสัย อธิบายชัดว่า กลยุทธ์นี้คือการยกระดับภาพลักษณ์และสร้างประสบการณ์ที่ ‘เหนือกว่า’ ให้กับผู้บริโภค โดยหวังเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แตกต่าง

“ชาบูชิ อิชิเทน จะเป็นต้นแบบแฟลกชิปสโตร์ที่ผสมผสานความอร่อยกับความพิเศษ ตั้งแต่การออกแบบร้าน บริการ และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับแบรนด์สู่ตลาด Premium Mass อย่างเต็มตัว” ศสัยกล่าว

 

แฟลกชิปสโตร์ที่ตอบโจทย์ Experience Economy

สาขาแรกที่ วัน แบงค็อก ถูกวางตัวเป็น Destination สำหรับคนรักชาบู-ชาบูและซูชิ โดยดึงคอนเซปต์ ‘Good Taste Great Time Never End’ หรือ ‘รสชาติความสุข...ไม่สิ้นสุด’ มาเป็นแกนหลัก ทั้งดีไซน์ร้าน บรรยากาศ และการบริการแบบใส่ใจ Brand Concept นี้จึงไม่ใช่แค่ถ้อยคำ แต่คือระบบคุณค่า (Value System) ที่ผูก 3 เรื่องเข้าด้วยกัน ได้แก่ รสชาติ (Product Proof), ช่วงเวลา (Experience Promise), และ ความต่อเนื่อง (Retention & Community) เป็นการมอบPromise (คำมั่น) มื้อที่อร่อยและสนุก ‘เสมอ’ ไม่ใช่บังเอิญ, Proof (หลักฐาน) วัตถุดิบ/เมนูฮีโร่ + กระบวนการเสิร์ฟที่เร็วและลื่นไหล, Payoff (ผลลัพธ์) ลูกค้ารู้สึกว่าที่นี่คือ ‘จุดหมายที่ไว้ใจได้’ สำหรับโมเมนต์ดีๆ ที่อยากกลับมาซ้ำได้เรื่อยๆ

แน่นอนว่า เป้าหมายของชาบูชิ อิชิเทนไม่ได้อยู่ที่การทำให้ร้านแน่นทุกวันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามื้อที่มาทานนั้นคุ้มค่าจนยอมจ่ายต่อหัวสูงขึ้น และอยากกลับมาซ้ำบ่อยขึ้น แนวทางนี้คือการเพิ่มทั้งยอดใช้จ่ายต่อหัวและยอดต่อบิล ผ่านการเลือกแพ็กเกจพรีเมียมหรือการสั่งเมนูพิเศษเพิ่มเติม ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้ลูกค้ามีความผูกพันกับแบรนด์จนอยากกลับมาใช้บริการซ้ำเรื่อยๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น รายได้จากลูกค้าในระยะยาวหรือ Lifetime Value ต่อที่นั่งก็จะสูงขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งเพียงแค่ทำให้ร้านเต็มชั่วครั้งชั่วคราว พูดง่ายๆ คือ ชาบูชิ อิชิเทนไม่ได้ต้องการแค่คนแน่นร้าน แต่ต้องการสร้างความประทับใจให้ลูกค้ารู้สึกดีจนเต็มใจจ่ายมากขึ้นและเลือกกลับมาเป็น ‘จุดหมายในใจ’ ของพวกเขาอยู่เสมอ

จุดขายหลัก (Highlight) คือไม่ใช่แค่การออกแบบร้านให้สวย แต่ต้องสื่อสารอัตลักษณ์แบรนด์ให้ชัด เช่น สายพานรถไฟสองชั้น ครั้งแรกในไทยที่เป็นทั้งความสะดวกและสร้างเอกลักษณ์ บรรยากาศที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกของอาหารญี่ปุ่นจริงๆ ซึ่งทั้งหมด ยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดูทันสมัยจากการใช้เทคโนโลยีเสิร์ฟอาหารสุดล้ำ สร้างการจดจำและทำให้ลูกค้าอยากบอกต่อ และระบบสั่งเมนูพิเศษผ่าน QR Code บนมือถือ (ที่กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหม้อไฟแทบทุกร้านไปแล้ว) รวมถึงเมนูพิเศษคุณภาพสูงที่คัดสรรแบบพรีเมียม

 

เจาะตลาดพรีเมียม แมส ด้วย 2 แพ็กเกจบุฟเฟต์ใหม่

เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลาย ชาบูชิ อิชิเทนได้แบ่งบุฟเฟต์ออกเป็น 2 ระดับ คือ Premium Buffet 499 บาท+ ครบทั้งชาบู ซูชิ และเนื้อหมู-เนื้อวัวพรีเมียมกว่า 90 รายการ, Platinum Buffet 599 บาท+ เพิ่มไลน์ซีฟู้ดและเนื้อวากิว รวมกว่า 100 รายการ พร้อมเมนูเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Wagyu (F1) Black Opal’ ที่เพิ่ม99 บาท+ เมื่อเลือกแพ็กเกจ Platinum จะเห็นว่าเมนูและราคาของอิชิเทนไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขายให้ได้เท่านั้น แต่ตั้งใจสร้าง ‘บันไดคุณค่า’ หรือ Value Laddering ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้เลือกประสบการณ์ที่เหมาะกับตัวเอง วิธีจัดวางลำดับเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึง ‘ทางเลือก’ มากกว่า ‘ถูกบังคับให้จ่ายแพงขึ้น’ ทุกแพ็กเกจตอบโจทย์ต่างกันและให้คุณค่าในแบบที่ชัดเจน นี่จึงเป็นการออกแบบแพ็กเกจที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็ยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูใส่ใจรายละเอียดและเข้าใจความต้องการของลูกค้าในทุกระดับอย่างแท้จริง

 

 

ทำไม Shabushiต้องลงเล่นในตลาดพรีเมียมแมส?

ตลาดบุฟเฟต์ Mass เริ่มตัน ตลาดบุฟเฟต์แบบแมสกำลังเผชิญภาวะ ‘Red Ocean’ อย่างแท้จริง แข่งขันกันด้วยราคาและโปรโมชั่นอย่างดุเดือด กำไรต่อหัวลดต่ำลงทุกปี ยกตัวอย่างเช่น ร้านที่ต้องออกโปรบุฟเฟต์ 299-399 บาท ถี่ขึ้นเพื่อดึงลูกค้า แต่สุดท้ายกระทบกำไรและคุณภาพวัตถุดิบ การหาตลาดใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้นจึงเป็นทางรอด ขณะเดียวกัน ลูกค้าระดับกลาง-บน ที่นิยมบุฟเฟต์ราคาถูกแม้จะมีอำนาจในการซื้อ เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากเสี่ยงกับคุณภาพอาหารและบริการที่ตกลง จึงพร้อมย้ายไปแบรนด์ที่แพงขึ้นแต่มั่นใจคุณภาพได้

ผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพื่อประสบการณ์ (Experience Economy) ลูกค้ายุคนี้ไม่ได้มองแค่ ‘อิ่มในราคาไม่แพง’ แต่ต้องการประสบการณ์ที่พิเศษขึ้น เช่น คุณภาพวัตถุดิบที่ดีกว่า การตกแต่งร้านที่สวยและถ่ายรูปได้ หรือเมนูที่มีเชฟปรุงแบบสดๆ ต่อหน้า ยกตัวอย่างแบรนด์ที่ไม่ใช่หม้อไฟอย่าง Copper Buffet สามารถตั้งราคาสูงกว่าตลาดแต่ยังได้รับความนิยม เพราะลูกค้ามองว่าคุ้มค่ากับคุณภาพและประสบการณ์ที่ได้รับ

สร้าง Brand Stretch ให้ภาพลักษณ์แข็งแรงทั้งพอร์ต การสร้างแบรนด์ลูกในเซ็กเมนต์พรีเมียมไม่เพียงเพิ่มรายได้ แต่ยังช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของ ทั้งพอร์ตแบรนด์ ‘โออิชิ’ ให้ดูทันสมัยและมีมูลค่าสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่ Starbucks เปิด Reserve Store เพื่อสร้างภาพจำใหม่ว่าบริษัทนี้ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟทั่วไปแต่มีความเชี่ยวชาญและมีตัวเลือกพรีเมียมให้ลูกค้า

นี่จึงไม่ใช่เพียงการ ‘เปิดสาขาใหม่’ แต่เป็นการวางหมากเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญ เพื่อให้แบรนด์เก๋าอย่าง Shabushi สามารถขึ้นมาเล่นในตลาดพรีเมียม แมส สู้กับผู้เล่นหน้าใหม่ที่เน้นคุณภาพและประสบการณ์ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

ทั้งนี้ แฟลกชิปสโตร์ ชาบูชิ อิชิเทน ณ วัน แบงค็อก จะเป็นต้นแบบ (Prototype) ที่ใช้ทดสอบตลาด และหากโมเดลนี้ตอบรับดี มีโอกาสต่อยอดขยายสาขาในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ และสิ่งที่ชาบูชิจะได้กลับมาจากสาขานี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือข้อมูลเชิงพฤติกรรมลูกค้า (Insight) และสูตรการสร้างประสบการณ์ที่ได้ผลจริง เพื่อใช้ปรับแบรนด์เดิมให้สดใหม่และแข็งแรงขึ้น

“เราต้องการให้อิชิเทนเป็นจุดหมายปลายทางของคนรักอาหารญี่ปุ่น ไม่ใช่เพียงแค่ร้านอาหาร แต่เป็นประสบการณ์ที่อยากกลับมาอีก” ศสัย กล่าวปิดท้าย

 

Key Takeaway สำหรับนักการตลาด

อย่าปล่อยให้แบรนด์เก่าตกขบวนเทรนด์ใหม่ แม้จะเป็นผู้เล่นที่อยู่ในตลาดมานาน แต่ต้องกล้าปรับตัว และยกระดับแบรนด์เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป, ต้องทำให้ร้านกลายเป็น Destination ไม่ใช่แค่ ‘ที่กินข้าว’ แต่ต้องเป็นประสบการณ์ครบวงจรที่ผู้บริโภคอยากมาเช็กอิน และใช้แฟลกชิปสโตร์เป็นสนามทดลอง: ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสภาพลักษณ์ใหม่ แล้วค่อยกระจายสู่สาขาอื่น และนี่คือหมากสำคัญที่ชาบูชิ ใช้ขยับจากตลาดแมสสู่ Premium Mass Brand เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดในยุคที่ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อ ‘คุณภาพและความพิเศษ’

[อ่าน 730]
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
From Newcomer to Industry Contender!
 How Lucky Suki Built a Billion-Baht Empire
แบตรถกอล์ฟราคาเท่าไหร่ เลือกแบตเตอรี่อย่างไรให้มีคุณภาพ
การต่อเติมหลังคาไวนิล ราคาเท่าไร และต้องเลือกที่อะไรอีกบ้าง
ทำฟันขาวด้วยวีเนียร์ ราคาเริ่มเท่าไหร่ แพงแต่คุ้มจริงหรอ ?
บริษัทบริการรักษาความปลอดภัยครบวงจร จำเป็นต่อโรงพยาบาลยังไง
ไอเดียตกแต่งร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นด้วยคิ้วสแตนเลส
MAGAZINE UPDATE
Owner
DOUBLE D CREATION Co.,Ltd.
เอเวอร์กรีนวิว ทาวเวอร์ ชั้น 4
เลขที่ 22/43 ซอยบางนา-ตราด 56 ถนนบางนา-ตราด
แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
Tel : 0-2751-4995-6
Mobile : 062-194-4561
Advertising
ติดต่อโฆษณา และ การตลาด
คุณศุภากร ยาตพงศ์ (บู)
Mobile : 08-1355-3636
Tel : 0-2751-4995-6
E-mail : market-plus@hotmail.com
info@marketplus.in.th
PR News
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์
E-mail : info@marketplus.in.th,
market-plus@hotmail.com,
marketplus@hotmail.co.th
Copyright © 2016 DOUBLE D CREATION Co.,Ltd. All rights Reserved