บริษัท ฟูจิฟิล์ม เอเชียแปซิฟิก ร่วมกับ ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ถือฤกษ์ดี วันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมาเปิดตัว MAHIDOL UNIVERSITY-FUJIFILM Asia Pacific Healthcare Learning Academy (MU-FAHLA) Center for Advanced Medical Imaging Informatics ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ และศูนย์ฝึกอบรมทางด้านรังสีเทคนิคระดับภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก (APAC) แห่งแรกในประเทศไทย ณ อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา จังหวัดนครปฐม
ประธานในพิธีการเปิดตัวศูนย์การเรียนรู้ (จากซ้ายไปขวา) ประกอบด้วย ศาสตราจารย์.ดร.ฉัตรเฉลิม อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ศาสตราจารย์ ดร. นภเรณู สัจจรักษ์ธีระฐิติ รักษาการแทนรองอธิการบดีฝ่ายวิเทศสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยมหิดล, มร.ทาคุมะ โอทสึกะ ผู้อำนวยการศูนย์ MU-FAHLA, ผู้จัดการส่วนภูมิภาค บริษัท ฟูจิฟิล์ม เอเชียแปซิฟิก และ มร.มาโมรุ โมโรตะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรเฉลิม อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะเทคนิคการแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง MU-FAHLA Center for Advanced Medical Imaging Informatics ว่า เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาศักยภาพและพัฒนามาตรฐานวิชาชีพรังสีเทคนิค รวมถึงการอัพเดทความรู้ทางด้านระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมที่มีมาตรฐานระดับนานาชาติ โดยผู้ทรงคุณวุฒิจากภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ที่เปิดสอนสาขารังสีเทคนิคและมีความแข็งแกร่งทางวิชาการและวิจัยมาถึงปัจจุบัน ซึ่งผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจะสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานที่สอดรับกับมาตรฐานระดับนานาชาติ เพื่อความเป็นเลิศในระดับสากล
ขณะที่ มร.ทาคุมะ โอทสึกะ ผู้อำนวยการศูนย์ MU-FAHLA และ ผู้จัดการส่วนภูมิภาค บริษัท ฟูจิฟิล์ม เอเชียแปซิฟิก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า "ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นการผสานจุดแข็งของมหาวิทยาลัยมหิดลที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการวินิจฉัยทางด้านการแพทย์ดิจิทัล (Medical Imaging) และสารสนเทศทางด้านการแพทย์ (Medical Informatics) ทั้งการทางการเรียนสอนและงานวิจัย กับจุดแข็งของฟูจิฟิล์มที่มีความเชี่ยวชาญและมุ่งมั่นพัฒนาคิดค้นเทคโนโลยีเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ อาทิ กล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหาร (Endoscopy), เครื่องตรวจเต้านม (Mammography), ระบบสารสนเทศทางการแพทย์ (Synapse), เครื่องอัลตราซาวนด์,เครื่องวิเคราะห์ตัวอย่างเลือด รวมถึงสินค้าในกลุ่มเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อมของร่างกาย เพื่อยกระดับการรักษาให้ครอบคลุม ช่วยเพิ่มโอกาสรักษาผู้ป่วยให้ง่ายขึ้นและการวินิจฉัยที่ชัดเจนและแม่นยำส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษาให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญ ฟูจิฟิล์มต้องการให้ความรู้และโนวฮาวผ่านการฝึกอบรมให้กับบุคลากรในภูมิภาค ดังนั้น ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดลจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด"
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภาพงษ์ พงษ์นภางค์ หัวหน้าภาควิชาการรังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความร่วมมือดังกล่าวว่า
"MU-FAHLA เป็นความร่วมมือแบบ Mutual Partner โดยทางฟูจิฟิล์มได้เข้ามาช่วยสนับสนุนในเฟสแรกด้วยการรีโนเวทห้องและจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้ภาควิชามีความพร้อมกับการเป็นศูนย์การฝึกอบรมในระดับสากล ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดลองทำโครงการ ด้วยการเปิดฝึกอบรม 2 หลักสูตรๆ ละ ประมาณ 50 คนได้แก่ หลักสูตร Level 1: Digital Imaging & Medical Informatics Foundation (เรียนเสาร์ -อาทิตย์) และหลักสูตร Level 2: Medical Informatics Intermediate/Picture Archiving and Communication System (PACS) Administrator (เรียนจันทร์ - อังคาร) ซึ่งการเรียนการสอนมีทั้งหลักสูตรภาษาไทยและอังกฤษ สำหรับผู้เรียนที่เป็นคนไทยและต่างชาติในภูมิภาค ตลอดจนลูกค้าของฟูจิฟิล์มในภูมิภาค ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรจะเน้นที่การใช้เครื่องมือของฟูจิฟิล์มเองที่เราก็มีความเชี่ยวชาญกับเครรื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว
ส่วนความร่วมมือในเฟสต่อไปยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามาให้ใช้ในการฝึกอบรมเพิ่มเติม และแผนงานที่อยู่ในลำดับต่อไปซึ่งได้ลงนามบันทึกควาเข้าใจ (MOU) ระหว่างกัน คือ การทำงานวิจัยเกี่ยวกับ Medical Imaging และ Medical Informatics ในระยะต่อไปที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligece : AI) มาช่วยในการทำงาน โดยเราจะมีโอกาสเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ด้วยความสนับสนุนจากฟูจิฟิล์มที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้การใช้ AI จะช่วยทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่และแพทย์สะดวกขึ้น อาทิ การวิเคราะห์ว่าจะใช้การตรวจแบบใดใช้ปริมาณรังสีเท่าไร หรือแม้แต่จะสร้างภาพอย่างไรเพื่อให้แพทย์เห็นโรค เป็นต้น"
สำหรับ ความพยายามที่จะพัฒนามาตรฐานวิชาชีพนักรังสีเทคนิคให้เดินหน้าสู่ระดับสากลนั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภาพงษ์ กล่าวในฐานะ ประธานฝ่ายวิชาการ สมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย ถึงภาพรวมของวิชาชีพนี้ว่า
"ประเทศไทยมีนักรังสีการแพทย์ หรือนักรังสีเทคนิค (Radiologic Technologist,Radiographer) ประมาณ 5,000 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนที่มีวิชาชีพนี้เป็นจำนวนมาก อาทิ อินโดนีเซียและฟิลลิปปินส์ที่มีวิชาชีพดังกล่าวถึง 2 หมื่นคน ขณะที่เมียนมาก็ยังมีวิชาชีพนี้ถึง 1 หมื่นคน ทั้งนี้ เนื่องจากทางมหิดลผลิตได้ปีละ 60 คนทั้งที่ภาควิชานี้เปิดมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2508 ซึ่งต่อมาก็มีการเรียนการสอนเพียงสามสถาบันเท่านั้น ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยนเรศวร และแม้ปัจจุบันก็จะมีการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นเป็น 11 สถาบันแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตาม มหิดลในฐานะที่เป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพนี้ระดับภูมิภาคก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะจะพัฒนาและสร้างมาตรฐานวิชาชีพนักรังสีเทคนิคให้ได้มาตรฐานสากล โดยการใช้แนวทางการพัฒนาเพื่อเทียบเคียง ตามมาตรฐานของใบอนุญาตทางวิชาชีพในระดับสากล"